โดย อาจารย์ณัฐวัฒน์ บำรุงพานิช
“แว่วเสียงเพลงบรรเลงด้วยกลอง เน้นท่วงทำนอง สอดคล้องสำเนียงเสียงพม่าผสมมโนราห์บูชายันต์ เป็นจังหวะของห้องดนตรีที่ไม่พ้องจองกับความเคยชินในแถบถิ่นดินแดนแคว้นสยามสักเท่าใดนัก อีกทั้งท่าทางการขยับเขยื้อนเคลื่อนสรีระของเจ้าหุ่นกระบอกร่างเท่ามนุษย์ ภายใต้กำมือของผู้เชิดที่กำลังชักใยกุมบังเหียนอยู่ด้านหลังนั่นอีก ยิ่งพอกวาดสายตาไปเก็บรายละเอียดทุกกระเบียดนิ้วของเสื้อผ้าอาภรณ์ ที่บรรจงปักดิ้นเงินดิ้นทอง เรียงร้อยลูกปัดสารพัดหลากสี จวบจนสีสันของเมคอัพบนใบหน้าและเรือนกายที่ขาวโพลน เขียนคิ้วเป็นเส้นโก่ง วาดขอบปากเรียวเล็ก บ่งบอกความรู้สึกบนใบหน้าด้วยสีสันลวดลายกนก ลงบนผิวตัวละครทั้งหุ่นทั้งคนมาเสกผสมเป็น "หุ่นคน" ชวนพิสมัย”
1. บทนำ
ผู้ศึกษามีความสนใจที่จะศึกษาภูมิปัญญาจากวัฒนธรรมไทยแห่งศิลปะการแสดง “หุ่นคน” ซึ่งจะทำให้ผู้ศึกษาทราบถึงภูมิปัญญาจากการแสดงหุ่นคนนี้ เนื่องจากการแสดงหุ่นคนเป็นการประยุกต์ศิลปะ โดยการผสมผสานศิลปะการแสดงต่างๆ โดยนำเอาเหตุการณ์ต่างๆ ในวรรณกรรมและวรรณคดี ตลอดจนวิถีชีวิตของสังคมไทยมาดัดแปลงแต่งเติมให้เป็นบทแสดง ดังนั้น ภูมิปัญญาจากวัฒนธรรมไทยแห่งศิลปะการแสดง “หุ่นคน” จะทำให้ผู้ศึกษาทราบถึงภูมิปัญญาจากการแสดง ”หุ่นคน” และยังเป็นแนวทางในการอนุรักษ์และสืบสานศิลปะที่กำลังจะถูกลืม
อีกทั้ง ผู้ศึกษายังได้เป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ณัฐวัฒน์ บำรุงพานิช ซึ่งเป็นผู้คิดค้นการแสดง “หุ่นคน” โดยผู้ศึกษาเป็นผู้แสดง ทั้งเป็น หุ่น และเป็น คนเชิด ซึ่งจากประสบการณ์ที่ได้แสดง “หุ่นคน” ผู้ศึกษามีความภูมิใจและสนใจที่จะศึกษา เรียนรู้ ศิลปะการแสดงหุ่นคน ต่อไป เพื่อเป็นการอนุรักษ์และสืบสานภูมิปัญญาศิลปะวัฒนธรรมไทยไม่ให้เลือนหายไปจากปัจจุบัน
2. ประวัติ
ศิลปะการแสดงหุ่นคนมีต้นกำเนิดจากหุ่นหลวง หุ่นกระบอก หุ่นละครเล็ก การแสดงหุ่นของภาคต่างๆ หนังตะลุง โขน ละคร และระบำรำฟ้อนมาผสมผสานกันระหว่างศิลปะการเชิดหุ่นและหนังใหญ่ต่างๆ ตลอดจนการแสดงศิลปะแบบสากล ประกอบกับลีลาท่าทางของผู้แสดงให้ออกมาเป็นเรื่องราว โดยนำเอาเหตุการณ์ต่างๆในวรรณกรรมและวรรณคดี ตลอดจนวิถีชีวิตของสังคมไทยมาดัดแปลงแต่งเติมให้เป็นบทแสดง แล้วประยุกต์ในเชิงเปรียบเทียบระหว่างคนกับหุ่น หรือคนเลียนแบบหุ่น โดยได้นำวิธีการเชิดหุ่น รูปแบบการแสดง การดำเนินเรื่อง ตลอดจนการแต่งกายของหุ่น เพื่อให้เข้ากับปัจจุบัน เป็นการแสดงร่วมสมัยได้อย่างน่าสนใจ อีกทั้งยังเป็นแนวทางในการอนุรักษ์และสืบสานศิลปะที่กำลังจะถูกลืม
นอกจากนี้ได้นำการแสดงมาปรับปรุงใหม่ โดยใช้คนแทนหุ่นหลวง และยังคงรักษารูปแบบเดิมของการแสดงหุ่นแต่ละประเภทไว้ เพียงแต่เปลี่ยนจากหุ่นมาเป็นคนเท่านั้น เมื่อปี พ.ศ.2537 ซึ่งการแสดงหุ่นคนดังกล่าวในตอนนั้นยังไม่มีแบบฉบับที่แน่ชัดและไม่สวยงามมากนัก หลังจากนั้นจึงได้พัฒนารูปแบบต่อมาเรื่อยๆกระทั่งเมื่อปี พ.ศ. 2543 จึงได้รับความนิยมเป็นอย่างดีจากกระแสสังคมที่เริ่มยอมรับศิลปะการแสดงหุ่นคน ด้วยเป็นเพราะว่าความแปลกนั่นเอง
ประวัติของผู้คิดค้นการแสดง”หุ่นคน”
1. ประวัติส่วนตัว นายณัฐวัฒน์ บำรุงพานิช นามแฝง อาจารย์จอม หรือ อาจารย์กลางวันเดือนปีเกิด 22 ธันวาคม 2507 เกิดที่อำเภอเมือง จังหวัดพัทลุง เป็นบุตรคนที่ 7 ในจำนวนพี่น้อง 9 คน สถานภาพ โสด
2. ที่อยู่ที่ติดต่อได้ หมู่บ้านฉัตรประภา 226/2 ตำบลลาดยาว อำเภอจตุจักร จังหวัดกรุงเทพฯ โทรศัพท์ 081-7922807
3. สถานที่ผลิตผลงานศิลปะ มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ เลขที่ 18/18 ตำบลบางโฉลง อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ รหัสไปรษณีย์ 10540โทรศัพท์ 02-3126387
4. การศึกษาปีที่สำเร็จการศึกษา วุฒิการศึกษา สถานศึกษา 2535 นาฎศิลป์ชั้นสูง วิทยาลัยนาฎศิลป์ 2537 นาฏศิลป์และการละคร มหาวิทยาลัยราชภัฎจันทร์เกษม 2542 ศิลปศาสตร์มหาบัณฑิต(การจัดการสิ่งแวดล้อม) มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
5. สาขาที่เชี่ยวชาญ ศิลปการแสดงด้านนาฎศิลปไทยและประยุกต์
6. ชื่อผลงานที่เป็นผู้สร้างสรรค์หรือผลิตขึ้นมาใหม่ด้วยตนเอง มีลักษณะที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ เฉพาะตัว ปีที่ผลิต ชื่อผลงาน ขนาด/คุณลักษณะ 2537 การแสดงหุ่นคน ใช้คนเลียนแบบหุ่น (จำนวน 10 ชุด) 2542 ระบำรำฟ้อน คิดสร้างสรรค์เป็นระบำ (จำนวน 20 ชุด) 2546 นาฎศิลป์ประยุกต์ สร้างสรรค์นาฎศิลป์ไทยสู่นาฎศิลป์ร่วมสมัย (จำนวน 17 ชุด) 2547 หุ่นละครคน สร้างหุ่นขนาด 170 ซม. เลียนแบบคน (จำนวน 1 ชุด)
ผลงานที่สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศ
"การแสดงหุ่นคน" จัดแสดงโดยคณะหุ่นคนฝ่ายศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติได้รับการคัดเลือกจากสถานีวิทยุแห่งประเทศไทย ช่อง 11 เป็นตัวแทนประเทศไทย เข้าร่วมงาน ศิลปการแสดงของเยาวชนครั้งที่ 1 ณ เขตปกครองพิเศษ เสิ่นเจิ้น สาธารณรัฐประชาชนจีนระหว่างวันที่ 12-19 กันยายน พ.ศ. 2550 ในการร่วมงานดังกล่าวการแสดงหุ่นคนได้รับรางวัลชนะเลิศ จากประเทศที่ข้าร่วมงานทั้งสิ้น 28 ประเทศ 32 ชุดการแสดง
3. วัตถุประสงค์
"หุ่นคน" เป็นส่วนหนึ่งของศิลปะไทย โดยวัตถุประสงค์ในการนำเสนอเพื่อต้องการเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมประจำชาติไทย พร้อมทั้งยังมุ่งหวังให้ผู้ที่สามารถสนับสนุนและส่งเสริมศิลปะไทย ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญ ช่วยผลักดันให้วงการศิลปะไทยก้าวหน้าต่อไปเรื่อยๆ เป็นกำลังใจให้ศิลปินและผู้ที่สนใจได้มุ่งมั่นพัฒนาฝีมือทางด้านศิลปะอย่างเต็มที่
4. ตัวอย่าง ชื่อชุดการแสดง
- ชุดหุ่นคนวิลาศลักษณ์ศุภฤกษ์เบิกฟ้า : การเชิดหุ่นคนที่ถ่ายทอดเรื่องราวของเหล่าเทวดานางฟ้า
- ชุดหุ่นคนกินนราชเวดากอง
- ชุดหุ่นคนนาฏกรรมอลังการหนังใหญ่
- ชุดหุ่นคนบัลเล่ย์เทิดพระเกียรติ
- ชุดหุ่นคนพรานบุญจับนางมโนราห์
- ชุดหุ่นคนหนุมานจับนางสุพรรณมัจฉา
- ชุดหุ่นคน 4 ภาค
- ชุดหุ่นคนพระมหาชนก
- ชุดหุ่นคนตะลุงโนราห์
- ชุดหุ่นคน “หุ่นละครคน”
- ชุดหุ่นคนวายังโอรัง
- หุ่นคนลายไม้
- ชุดหุ่นคนกิงกะหล่า
5. เนื้อหาการแสดง
ตัวอย่าง การแสดงหุ่นคนพรานบุญจับนางมโนรา
หลังเสียงเพลงบรรเลง นักแสดงเคลื่อนไหวขยับเรือนร่างไปตามจังหวะที่ลงตัวกันทั้งหุ่นคน ทั้งผู้เชิด สีหน้าแววตานิ่งสนิท เหมือนสลัดวิญญาณของมนุษย์ออกจากร่าง ยกแขน ยกขา ตามเส้นเชือกระโยงที่ผูกไว้บริเวณข้อต่อของร่างกาย ได้แก่ หัวไหล่ ข้อศอก ข้อมือ หัวเข่า และข้อเท้า เรียกว่าหุ่นสาย เป็นหุ่นคนที่มีสายโยงใยบังคับด้วยมือ
ต่อจากนั้นก็มีกินรีโบยบินเข้ามาตามท้องเรื่อง แขนร่ายรำด้วยการบังคับจากไม้ ส่วนเท้ากวัดแกว่งเหมือนกำลังเหาะเหินด้วยสองมือของผู้เชิดอยู่ด้านหลัง เรียกว่าหุ่นคนที่บังคับด้วยมือและเท้า
เมื่อเสียงเพลงจบลงพร้อมกับสิ้นสุดการแสดง หุ่นคนตัวนาง โดย วนิดา ตันติโชติมัย คณะพยาบาลศาสตร์ ปี3 เล่าให้ฟังว่า "การแสดงหุ่นคนจะยากในช่วงแรก ต้องอาศัยขยันหมั่นฝึกซ้อม และสิ่งที่ยากที่สุดคือ การแสดงให้เหมือนหุ่น ต้องคิดว่าตัวเองเป็นหุ่นด้วย ทั้งสีหน้าและแววตาที่ต้องนิ่ง อีกทั้งการเคลื่อนไหวต้องพร้อมไปกับผู้เชิด การแสดงหุ่นคนถึงจะสมจริง และด้วยเป็นคนชอบนาฏศิลป์เป็นทุนเดิม โดยช่วงแรกเรียนการแสดงนาฏศิลป์ไทยและสากล ซึ่งเป็นพื้นฐานที่ดีสำหรับการแสดงหุ่นคน ช่วยให้มีระเบียบวินัย มีสมาธิมากขึ้นด้วย
ผู้เชิดหุ่นคน โดยชัยพร ทรัพย์คง คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์และสวัสดิการสังคม ปี 4 บอกว่า "ผู้เชิดต้องมีสมาธิ เพราะคนกับหุ่นต้องเคลื่อนไหวสอดคล้องกันตลอดเวลา มีเสน่ห์อยู่ที่ลีลาการเคลื่อนไหวและอารมณ์ ซึ่งต้องเรียนรู้กิริยาท่าทางของหุ่น เพื่อเวลาเชิดจะได้เคลื่อนไหวเป็นจังหวะพร้อมกัน"
หุ่นคนกินรี โดยวิชาญ บุญค้ำ คณะสาธารณสุขศาสตร์และสิ่งแวดล้อม ปี 2 เล่าว่า "ตอนแรกนั้นไม่ได้รู้สึกชอบหุ่นคนมากนัก กระทั่งได้สัมผัสถึงความแปลกแล้วจึงอยากศึกษา คิดว่าวัยรุ่นควรสืบทอดวัฒนธรรมที่กำลังจะหายไป นอกจากนี้ กินรี ซึ่งมีผู้เชิดถึง 4 คนด้วยกัน ยังช่วยให้พวกเรามีความสามัคคีและพร้อมเพรียงในหมู่คณะด้วย"
ตัวอย่าง การแสดงหุ่นคน วายังโอรัง
การแสดงอันน่าอัศจรรย์ใจของมนุษย์ผู้ใช้ร่างกายแทนหุ่นเชิด ร่ายรำไปตามท่วงทำนองด้วยแรงชักเชิดจากผู้เชิดทั้งสี่นี้ ได้รับแรงบันดาลใจมากจาก วายัง โอรัง (Watang Orang) นาฏกรรมเก่าแก่แห่งราชสำนักชวา ซึ่งได้รับการสืบทอดมาจนกลายเป็นนาฏศิลป์ประจำชาติของอินโดนีเซียในปัจจุบัน
สำหรับชื่อ “วายัง โอรัง” ที่อาจจะฟังดูแปลกหูอยู่บ้างนี้ อาจารย์ณัฐวัฒน์ บำรุงพานิช ผู้ก่อตั้งคณะฯ ได้คลายข้อสงสัยให้เราฟังว่าเป็นภาษายาวี โดยคำว่า ‘วายัง’ หมายถึง หุ่นหรือหนัง ส่วน “โอรัง” หมายถึง คน และที่ใช้ชื่อนี้ก็เป็นเพราะว่าตัวพี่จอมเองมีพื้นเพเป็นคนใต้ เมื่อได้สานต่อความตั้งใจของตัวเอง ในการจัดตั้งคณะหุ่นคนขึ้นมาแล้วก็อยากจะอนุรักษ์ภาษาท้องถิ่นของตัวเองไว้ด้วยเช่นกัน
การแสดงอันน่าอัศจรรย์ใจของมนุษย์ผู้ใช้ร่างกายแทนหุ่นเชิด ร่ายรำไปตามท่วงทำนองด้วยแรงชักเชิดจากผู้เชิดทั้งสี่นี้ ได้รับแรงบันดาลใจมากจาก วายัง โอรัง (Watang Orang) นาฏกรรมเก่าแก่แห่งราชสำนักชวา ซึ่งได้รับการสืบทอดมาจนกลายเป็นนาฏศิลป์ประจำชาติของอินโดนีเซียในปัจจุบัน
พ.ศ.2537 การแสดงวายัง โอรัง จึงเริ่มเผยแพร่เข้ามาสู่ประเทศไทย และได้รับการสร้างสรรค์ใหม่ โดยนำมาผสมผสานกับเอกลักษณ์ของหุ่นละครแบบไทย กลายเป็น วายัง โอรัง ภายใต้จิตวิญญาณแห่งความเป็นไทย ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในปี พ.ศ.2543 โดยเฉพาะคณะหุ่นคน วายัง โอรัง ของ อาจารย์ณัฐวัฒน์ บำรุงพานิช หัวหน้าฝ่ายศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ ซึ่งถือเป็นผู้บุกเบิกและพัฒนาหุ่นวายัง โอรังแบบไทยมาโดยตลอด
เสน่ห์ของวายัง โอรัง คือความงดงาม แนบเนียนของการเชิดที่เปรียบดังการถอดจิตใจและความมีชีวิตของคนผู้รับบทเป็นหุ่นออก แล้วให้ผู้เชิดทั้งสี่เติม “ชีวิตใหม่” เข้าไปแทนที่ร่ายรำตามลักษณะการเชิดหุ่นละครเล็ก และหุ่นละครหลวง ซึ่งสาบสูญไปแสนนาน
เล่ากันว่า การเชิดวายัง โอรัง เป็นการแสดงที่แฝงปรัชญาเอาไว้ว่า หุ่นคนก็คือคน มีกิเลสตัณหาเป็นผู้เชิดให้คิด ทำ อะไรตามแต่ใจปรารถนา เมื่อใดหลุดพ้นจากความอยาก เมื่อนั้นก็จะกลับเป็นคนโดยสมบูรณ์อีกครั้ง
ตัวอย่าง การแสดงหุ่นคนเทิดพระเกียรติ ณ พระนารายณ์ราชนิเวศน์ (ลพบุรี)
เป็นการนำเสนอ 1 ชุดการแสดงที่จะถ่ายทอดความหมายความจงรักภักดี เทิดพระเกียรติ มหาอภิกษัตริย์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราชเป็นการแสดงผสมผสานการเชิดหุ่นละครเล็กคนกับหนังใหญ่ ประกอบด้วย 2 องก์
องก์ 1 บทเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดชมหาราช ๘๐พรรษามหาราช โดยสมมุติฐานเหล่าบรรดาเทวดานางฟ้าลงมาจากสรวงสวรรค์เพื่อร่วมเฉลิมฉลองงานในครั้งนี้
องก์ 2 กล่าวถึงนางฟ้าออกมาฟ้อนรำอย่างสนุกสนานเพลิดเพลินด้วยความยินดีปรีดาความงดงามยิ่งใหญ่อลังการของศิลปวัฒนธรรมที่เกิดขึ้นในยามค่ำคืน ณ พระราชวังแห่งนี้ ที่สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยอยุธยา และได้รับการบูรณะอีกครั้งในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทำให้ พระนารายณ์ราชนิเวศน์ยังคงความงดงามเหนือกาลเวลา ...
5.1 วิธีการเชิด
ผู้เชิด
สำหรับอันดับแรกที่แต่ละคนจะต้องเรียนรู้ก็คือพื้นฐานด้านการรำนะครับ ผู้เชิด 4 คน จะต้องรำท่าเดียวกันหมด ในส่วนของคนเชิดก็จะต้องฝึกการเดิน การยกตัวที่เป็นหุ่นให้ได้ แล้วก็มีเรื่องเทคนิคการเป็นหุ่น เพราะว่าจะต้องทำตัวให้เหมือนตัวหุ่นละครเล็ก ช่วงแรกที่ซ้อมอาจจะใช้เวลานานหน่อยและมีขัดแย้งอยู่บ้าง แต่พอมีพัฒนาการมันก็ง่ายขึ้นตามลำดับ
หุ่น
ผู้แสดงเป็นหุ่น จะใช้วิธีการจินตนาการว่าเราเป็นหุ่น คือจะสังเกตได้ว่าการเป็นหุ่นจะต้องตัวอ่อนเนื่องจากหุ่นไม่มีชีวิต ไม่สามารถบังคับตัวเองได้ เราก็ต้องเป็นอย่างนั้นให้ได้ ก็ใช้วิธีสังเกตและสมมุติว่าตัวเองเป็นหุ่นเอา
5.2 รูปแบบการแสดง
ในการแสดงแต่ละครั้งนั้น ประกอบไปด้วยตัวหุ่นกับคนเชิด โดยปกติจะมี 4 คนเชิดต่อหุ่น 1 คน บางครั้งใช้คนเชิด 1 คน ต่อหุ่น 1 ตัว หรือคนเชิด 5 คน ต่อหุ่น 1 คน แล้วแต่ชุดการแสดง ซึ่งตัวหุ่นก็จะแบ่งไปตามเรื่องราวของวรรณคดีต่าง ๆ ทั้งหนุมาน นางเบญจกาย นางกินรี หรือว่าพรานบุญ เป็นต้น
5.3 การดำเนินเรื่อง
ด้านเนื้อเรื่องที่จะนำมาแสดงจะเป็นเรื่องราวของวรรณคดีต่าง ๆ รวมถึงวิถีชีวิตและการละเล่นต่าง ๆโดยในการแสดงแต่ละครั้งนั้นอาจารย์จอมจะเป็นผู้พิจารณาดูว่าเรื่องไหนมีความน่าสนใจ ก็จะเพิ่มความน่าตื่นเต้น สนุกสนานเพื่อให้คนดูรู้สึกสนุกไปด้วย อย่างเช่น ตอนหนุมานจับเบญจกาย ก็จะมีการตามล่ากันอย่างสนุกสนาน มีวิ่ง มีเหาะ เป็นต้น
5.4 เพลงประกอบการแสดง
สำหรับเพลงที่ใช้ในการแสดงแต่ละครั้งจะใช้เพลงที่สอดคล้องกับเรื่องราวของวรรณคดีต่าง ๆ ที่นำมาแสดง ทั้งเพลงไทยเดิม จังหวะดนตรีสากล เช่น หุ่นคนกิงกะหล่า ก็จะใช้เพลงที่มีจังหวะดนตรีทางเหนือร่วมกับจังหวะดนตรีสากล หรือมโนราห์บูชายัน จะใช้เพลงไทยเดิม ประยุกต์ร่วมกับจังหวะดนตรีสากล เป็นต้น
5.5 การแต่งหน้า
ผู้ที่แสดงเป็นหุ่นจะต้องทาหน้าขาวให้เหมือนกับว่าเป็นหุ่นจริง ๆ และเขียนคิ้ว ตา จมูก ปากให้เป็นไปตามลักษณะของตัวละครที่วรรณคดีได้ให้ไว้...
5.6 การแต่งกาย
รูปแบบของการแต่งกายของหุ่น จะแต่งการเลียนแบบหุ่นละครเล็กตามแต่เนื้อเรื่องที่จะเล่น ส่วนเครื่องแต่งกายของผู้เชิด เน้นที่ชุดสีดำ ใส่เสื้อราชประแตนสีดำ นุ่งโจงกระเบนสีดำ ประดับด้วยดิ้นเงินดิ้นทอง
6. วิเคราะห์คุณค่าภูมิปัญญา
- ลักษณะเฉพาะ/เอกลักษณ์
จากการที่อาจารย์จอมมีประสบการณ์การแสดงมาอย่างยาวนาน โดยคิดค้นศิลปการแสดงด้านนาฎศิลปไทยและประยุกต์ ทำให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ใหม่ทางด้านการแสดง จนเกิดภูมิปัญญาใหม่ คิดประดิษฐ์การแสดงหุ่นคน ที่ผสมผสานกันระหว่างศิลปะการเชิดหุ่นและหนังใหญ่ต่างๆ ตลอดจนการแสดงศิลปะแบบสากล ที่สร้างสรรค์โดยผลิตขึ้นมาใหม่ด้วยตนเอง ทำให้การแสดงหุ่นคนมีลักษณะที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ เฉพาะตัว จุดเด่น คือ นำคนมาแสดงเป็นหุ่น ซึ่งคนดูจะตกใจมาก ยิ่งเวลาแสดงจริงจะแต่งหน้าให้ขาว เขียนคิ้ว เขียนปากให้เหมือนหุ่น แล้วคนดูจะนั่งทายกันว่าคนหรือหุ่น
- กระบวนการถ่ายทอดองค์ความรู้ของภูมิปัญญา
หากความมุ่งมั่นในการอนุรักษ์ศิลปะการแสดงหุ่นคนให้คงอยู่ ทำให้อาจารย์จอม ริเริ่มการพัฒนา และสืบทอดศิลปะแขนงนี้ผ่านนักศึกษา จัดตั้งเป็นคณะ "หุ่นคน"
อาจารย์จอม นำการแสดงหุ่นคน ไปทดลองเผยแพร่บนเวทีการแสดง ปรับปรุง เพิ่มเติมจนเกิดความสวยงาม น่าชม จากนั้นนำไปสอนนักศึกษามหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ และลูกศิษย์ที่มาศึกษาตามอัธยาศัย ทำให้สิ่งที่คิดค้นประดิษฐ์ขึ้นเป็นศิลปะประจำจังหวัดสมุทรปราการที่ได้รับการยอมรับจนถึงปัจจุบัน
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา การเรียนรู้และสืบทอดองค์ความรู้ด้านศิลปะการแสดงหุ่นคน อาจไม่แพร่หลายในเรื่องของการสอนการแสดงหุ่นคนมากเท่าศิลปะการแสดงหุ่นประเภทอื่น เนื่องจากความรู้อยู่ที่ตัวอาจารย์จอม ประกอบกับความต้องการซึ่งห้ามมิให้ผู้ใดลอกเลียนแสดงหุ่นคน
- ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับภูมิปัญญา
จากการให้ความสำคัญกับการฝึกซ้อมอย่างไม่ย่อท้อ ส่วนหนึ่งมีที่มาจากความเป็นกันเองของครูผู้สอน ที่สร้างความประทับใจให้กับพวกเขาเป็นอย่างมากนั้น ก็ได้ส่งผลให้ฝีไม้ลายมือในการแสดงของแต่ละคนอ่อนช้อยขึ้นเป็นลำดับ และได้รับคำชมอย่างไม่ขาดสาย จากคนดูหลายสาขาอาชีพในแต่ละครั้งที่พวกเขาออกตระเวนไปทำการแสดงไม่ว่าที่แห่งใด ทว่า สาระแห่งการเรียนรู้ศาสตร์แห่งนาฏศิลป์คนเชิดคน ในความรู้สึกของเยาวชนกลุ่มนี้ไม่ได้มีแค่เพียงกำลังใจจากคนดูเท่านั้น แต่ยังได้กำลังใจจากเพื่อน และการสนับสนุนจากผู้บริหารของมหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติอีกด้วย นับเป็นปัจจัยเกี่ยวข้องที่สำคัญที่จะเป็นส่วนช่วย อนุรักษ์ และสืบสานให้ศิลปะการแสดงหุ่นคน ดำรงอยู่คู่สังคมไทยต่อไป
- สะท้อนวิถีชีวิต
วิถีชีวิตในอดีต เมื่อมีงานหรือประเพณีต่างๆ จะมีการนำการแสดงซึ่งเป็นศิลปะของไทย มาแสดงในงาน ซึ่งผู้คนในอดีตมีความชื่นชอบ และชื่นชมศิลปะการแสดงนาฏศิลป์ไทยทุกแขนง เช่น ศิลปะการเชิดหุ่นหลวง หุ่นกระบอก หุ่นละครเล็ก หนังตะลุง โขน ละคร และระบำรำฟ้อน โดยนำเอาเหตุการณ์ต่างๆในวรรณกรรมและวรรณคดี ตลอดจนวิถีชีวิตของสังคมไทยมาเป็นบทแสดง
วิถีชีวิตปัจจุบัน การแสดงที่เป็นนาฏศิลป์ไทยแบบดั้งเดิมไม่ค่อยได้รับความนิยมจากประชาชนทั่วไปในปัจจุบันมากนัก การที่อาจารย์จอมคิดประดิษฐ์การแสดงหุ่นคนขึ้นมา และได้รับความชื่นชอบจากสังคมปัจจุบันเป็นอย่างมาก ทั้งในประเทศและต่างประเทศ นับว่าเป็นการสร้างสรรค์งานที่แปลกใหม่แต่ยังคงรักษาเอกลักษณ์ของต้นฉบับไว้อย่างครบถ้วน เว้นแต่ใช้คนแสดงแทนหุ่น ทำให้คนหันมาชื่นชอบ และชื่นชมนาฏศิลป์ไทยกันมากขึ้น ทำให้นาฏศิลป์ไทยยังคงอยู่คู่สังคมไทยไปอีกนาน
อีกทั้ง นักศึกษาได้ประสบการณ์ทั้งในเรื่องการแสดงและการติดต่อประสานงานกับองค์กรต่าง ๆ เรื่องมนุษย์สัมพันธ์ ได้ฝึกสมาธิ ฝึกการทำงานเป็นทีม ที่สำคัญมันเป็นกิจกรรมที่ดีกว่าการที่จะไปมั่วสุมในเรื่องของยาเสพติด และยังได้มีส่วนร่วมในการอนุรักษ์และสืบสานศิลปะ วัฒนธรรมไทยให้ยั่งยืนต่อไปได้อีกด้วย
7. แนวทางการอนุรักษ์ ฟื้นฟู และพัฒนาภูมิปัญญาไทย ด้านนาฏศิลป์ : การแสดง “หุ่นคน” ของอาจารย์ณัฐวัฒน์ บำรุงพานิช
อ.ณัฐวัฒน์ ฝากถึงผู้ที่มีกำลังทรัพย์พอที่จะช่วยสนับสนุน "หุ่นคน" ซึ่งนับได้ว่ามีความเป็นศิลปะสายเลือดไทยที่น่าสนใจว่า “แม้แต่ต่างชาติยังชื่นชอบ แต่ถ้าคนไทยด้วยกันเองไม่อนุรักษ์ไว้ คงน่าเสียดาย และกว่าที่การแสดงแต่ละครั้งจะปรากฏสู่ สายตาผู้ชมได้นั้น ทีมงานต้องเตรียมตัว เตรียมงบประมาณต่างๆเอง ตั้งแต่เรื่องเครื่องแต่งกายที่คิดเองทำเอง อุปกรณ์ประกอบถ้าประดิษฐ์ขึ้นเองได้ก็ต้องช่วยกัน รวมถึงเครื่องสำอางที่ใช้แต่งหน้าให้คนกลายเป็นหุ่น พวกเราก็ต้องใช้เงินส่วนตัวด้วยเช่นกัน
หรือว่าปัญหานี้กำลังจะกลายเป็นวิกฤตของวงการศิลปวัฒนธรรมบ้านเราไปแล้ว หากปล่อยไปเช่นนี้ไม่ช้านานศิลปะที่ควรอนุรักษ์ไว้ก็คงต้องสลายไปกับกาลเวลา เหลือเพียงตำนานหรือคำเล่าขานจากผู้เฒ่าผู้แก่ ที่ลูกหลานคงไม่มีโอกาสได้เห็นได้สัมผัสศิลปะไทยขนานแท้เป็นแน่"
อ.ธนัญชย์ ผู้ได้รับอนุญาตจาก อ.ณัฐวัฒน์ ในการนำการแสดง "หุ่นคน" ไปทำเป็นผลงานวิทยานิพนธ์ ซึ่งได้จัดทำขึ้นเมื่อครั้งที่ศึกษาอยู่ที่ภาควิชานาฏศิลป์ คณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวทิ้งท้ายด้วยคำพูดและข้อคิดเด็ดๆว่า "ตอนนี้เท่าที่สังเกตจะมีการแสดงในลักษณะที่คล้ายกัน สำหรับเขานั้นเป็นความรู้สึกที่ดีเมื่อทราบว่ามีคนสนใจงานศิลปะชนิดนี้และมีคนทำงานแบบที่ใกล้เคียงกัน แตกต่างกันตรงที่เป็นแบบคลาสสิก หรือเป็นหุ่นนานาชาติ พร้อมกับยินดีที่มีคนได้นำแนวคิดของเขาไปปรับประยุกต์ต่อ อาจจะมุ่งแสดงเพื่อความสวยงาม แต่งานของเขาจะมีข้อคิดสัจธรรมที่แฝงอยู่ในการแสดงนอกเหนือจากความสวยงามเพียงเท่านั้น
ศิลปวัฒนธรรมของคนไทยไม่ได้น้อยหน้าคนต่างชาติเลย เพียงแต่ว่ายังไม่มีองค์กรที่จะมารองรับ รัฐบาลควรเป็นเหมือนแค่คนกลุ่มหนึ่งที่เสพงานเท่านั้น ไม่มีแรงผลักดันที่จะสนับสนุน บางทีทำแล้วยังโดนตำหนิ ศิลปินหมดกำลังใจ ไม่รู้จะทำเพื่ออะไร ไม่มีใครเห็นคุณค่าของงานศิลปะ
ปัจจุบันเริ่มดีขึ้นบ้างในบางส่วน แต่ควรศึกษาให้ละเอียดถ่องแท้ และรักงานศิลปะด้วยความจริงใจและปฏิบัติด้วยความจริงจัง ขอให้ "อนุรักษ์ สร้างสรรค์ สนับสนุน" เชื่อว่าวงการศิลปะจะไปได้ไกล กระทั่งกลายเป็นที่ยอมรับของสากล เหมือนวงจรชีวิต ถ้าขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไป เช่น ไม่อนุรักษ์-ของเก่าหาย ไม่สร้างสรรค์-งานก็คงที่ ไม่สนับสนุน-ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
จะเห็นได้ว่าจากคำกล่าวของทั้งสองท่านผู้เชี่ยวชาญด้านการแสดงหุ่นคนจะเห็นพ้องต้องกันใน 2 ประการ ดังนี้
ประการแรก คือ ความต้องการอนุรักษ์และสืบทอดศิลปะการแสดงหุ่นคน จากคนรุ่นหนึ่ง สู่คนอีกรุ่นหนึ่ง ณ วันนี้ ลูกศิษย์ต่างมุ่งมั่นที่จะสืบทอด "มรดกทางปัญญา" อันเป็นความภาคภูมิใจของอาจารย์จอม มิใช่วิถีแห่งลาภยศชื่อเสียง หากเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิต เป็นศูนย์กลาง ของความรักความผูกพัน ในหมู่ลูกศิษย์ และเป็นผลงาน ที่พวกเขามุ่งหวังให้เป็นหนึ่งในมรดก ทางวัฒนธรรมของแผ่นดิน
ประการที่สอง คือ การสนับสนุนจากผู้เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐ และภาคเอกชน เช่น ตอนนี้รัฐบาลยังให้ความสำคัญกับศิลปะน้อยไป หรืออาจยังไม่ถูกจุด เพราะถ้ารัฐบาลให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ กล้าออกมาพูดจะสามารถปลุกกระแสได้ดีมาก เช่น วันหยุดเสาร์-อาทิตย์ ไปชมศิลปะ ให้เด็กได้เรียนรู้ศิลปะ ทำให้เด็กมีศิลปะนิสัยและสร้างสุนทรียรสให้เด็กมีจิตใจที่ดี ยิ่งประเทศที่พัฒนาแล้วเขาให้เด็กเสพศิลปะตั้งแต่เด็ก เป็นการปลูกฝังให้ซึมซับตั้งแต่เล็ก มีรายการโทรทัศน์ช่องศิลปะโดยตรง แต่บ้านเรายังไม่มีการสนับสนุนในเรื่องนี้ กลายเป็นว่า เด็กไทยเลียนแบบต่างชาติ ไม่เห็นค่าของงานศิลปะไทยเอง อยากให้เด็กไทยภูมิใจในศิลปวัฒนธรรมประจำชาติไทยบ้าง ด้วยการลองปรับเปลี่ยนมุมมองกันใหม่ เพราะศิลปะเป็นเครื่องจรรโลงโลก ขัดเกลาจิตใจ ช่วยแก้ปัญหาสังคมได้ และศิลปวัฒนธรรมไทยก็ไม่ล้าสมัย ไม่เป็นรองใคร จงภูมิใจกับศิลปะความเป็นไทยเถิด
8. สรุป
การแสดงหุ่นคน สะท้อนให้เห็นมิติของการปรับประยุกต์ และพัฒนาต่อโดยไม่ยึดติดกับขนบเดิมจนเกินไป คณะหุ่นคนสามารถทำลายข้อจำกัดของการแสดง ซึ่งไม่ใช่การร่ายรำธรรมดา ๆ เพียงเท่านั้น หากเป็นการนำระบำรำฟ้อน มาผสมผสานกันระหว่างศิลปะการเชิดหุ่น และหนังใหญ่ต่าง ๆ ตลอดจนวิถีชีวิตในสังคมไทย มาดัดแปลงแต่งเติมเป็นบทแสดงออกมาในลักษณะของหุ่นคนหรือ “คนเชิดคน โดยไม่จำเป็นต้องใช้เวทีหรือฉาก ทำให้สามารถเปิดการแสดงได้ในพื้นที่จำกัด การแสดงอย่างมีปฏิสัมพันธ์กับผู้ชม นับเป็นเสน่ห์อีกประการหนึ่งของหุ่นคน ที่ให้ความรู้สึกมีส่วนร่วมและเพิ่มสีสันให้การแสดงดู \"สด"\ ยิ่งขึ้น
กิจกรรมนี้สอนให้ผู้แสดงรู้จักอดทนกับการแสดง ทำให้ผู้แสดงรู้จักการอนุรักษ์วัฒนธรรมไทยในแบบของนาฏศิลป์ไทย ที่ตอนนี้อาจจะสูญหายไปบ้างแล้ว แต่การที่คณะหุ่นคนได้มาทำประยุกต์ ไม่ว่าจะเป็นการรำไทยประยุกต์หรือว่าการเต้นที่มีรำไทยผสม รวมทั้งการแสดงหุ่นคน ผู้ศึกษาเห็นว่าการแสดงหุ่นคนจะทำให้วัยรุ่นหันมาสนใจการแสดงมากขึ้นได้
เรื่องราวของการแสดงหุ่นคน คืออีกชีวิตอีกฉากหนึ่งของนาฏศิลป์ของไทย สื่อแสดงให้เห็นพลัง จิตนาการ พลังการเรียนรู้ สร้างสรรค์ ถ่ายทอดภูมิปัญญาของสังคมไทยผ่านงานศิลปวัฒนธรรม อันเปี่ยมด้วยพลังชีวิต มีความสง่างาม เปี่ยมด้วยอารมณ์ เพื่อเป็นสะพานเชื่อมความเข้าใจในวิถีชีวิต จิตวิญญาณของวัฒนธรรมไทย ระหว่างคนรุ่นต่อรุ่น และเพื่อเปิดอีกหนึ่งมุม มองต่ออนาคตความอยู่รอดของศิลปวัฒนธรรมไทย หากได้รับการสืบทอดและพัฒนาเพื่อให้คนรุ่นหลังได้ประจักษ์ในคุณค่าและร่วมดำรงรักษามรดกทางภูมิปัญญาของศิลปินพื้นบ้านไทย
รายการอ้างอิง
http://www.sakulthai.com/DSakulcolumndetailsql.asp?stcolumnid=4254&stissueid=2664&stcolcatid=13&stauthorid=234
http://modernine.mcot.net/inside.php?modid=2315?modtype=3
http://www.artbangkok.com/main/detailcontent.php?sub_id=328
http://www.siam-handicrafts.com/webboard/question.asp?QID=1333
http://lopburiguide.com/2550/music_inthe_Palace/p5.html
วันอาทิตย์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2551
วันอังคารที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2551
ภูมิปัญญาจากวรรณกรรม เรื่อง ขุนช้างขุนแผน
1. บทนำ
ผู้ศึกษามีความสนใจที่จะศึกษาภูมิปัญญาท้องถิ่นจากประเพณี วิถีชีวิต ความเชื่อ และค่านิยมในวรรณกรรมเรื่องขุนช้างขุนแผน การศึกษาวรรณกรรมเรื่องขุนช้างขุนแผน จะทำให้ผู้ศึกษาทราบถึงภูมิปัญญาท้องถิ่นที่ปรากฏอยู่ในสมัยที่แต่งวรรณกรรมเรื่องนี้ขึ้น นอกจากนี้ยังเป็นวรรณกรรมที่แต่งขึ้นในช่วงเวลาที่อิทธิพลทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจากตะวันตกยังไม่แพร่กระจายเข้าสู่สังคมไทยมากนัก โดยพิจารณาจากลักษณะของวรรณกรรมที่มีเนื้อหาเรื่องราวเกี่ยวกับวิถีชีวิตของชาวบ้าน ซึ่งจะสะท้อนให้เห็นภูมิปัญญาท้องถิ่นที่มีลักษณะเป็นไทยได้ตรงตามสภาพที่เป็นจริง
ดังนั้น การศึกษาวรรณกรรมเรื่องขุนช้างขุนแผน จะทำให้ผู้ศึกษาทราบถึงภูมิปัญญาท้องถิ่นที่ปรากฏอยู่ในสมัยที่แต่งวรรณกรรมเรื่องนี้ และนำไปใช้เป็นแนวทางในการศึกษาภูมิปัญญาท้องถิ่นของไทยให้กว้างขวางลึกซึ้งยิ่งขึ้น อีกทั้งเพื่อส่งเสริมเผยแพร่ให้ชาวบ้านนำภูมิปัญญาเหล่านั้นไปสืบทอดปรับปรุงต่อไป
2. ภูมิหลัง
2.1 ภูมิหลังของเรื่อง เรื่องขุนข้างขุนแผน มีผู้สันนิษฐานว่าเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีในแผ่นดินสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 ระหว่าง พ.ศ. 2034-2072 เนื้อเรื่องเอาเกร็ดประวัติศาสตร์ตอนไทยทำสงครามกับเชียงใหม่และล้านช้าง แล้วเอามาผูกกับวิถีชีวิตของชาวเมืองสุพรรณบุรีและกาญจนบุรี แล้วเล่าสืบต่อกันมาจนกลายเป็นนิทานพื้นเมืองของเมืองสุพรรณบุรีและกาญจนบุรี เรื่องนี้มีปรากฏอยู่ในหนังสือ “คำให้การของชาวกรุงเก่า” ซึ่งนับว่าเป็นเค้าที่มาของเรื่องขุนช้างขุนแผน นับเป็นนิทานพื้นบ้านเรื่องยาวที่สุดของชาวสุพรรณบุรี ครั้งกรุงศรีอยุธยาตอนต้น คือ สมัยสมเด็จพระพันวษา ซึ่งเข้าใจกันว่า คือ สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 เพราะมีเนื้อเรื่องตรงกับประวัติศาสตร์ ตอนทำศึกเมืองเชียงใหม่
2.2 ภูมิหลังของกลอนเสภา มีผู้สันนิษฐานกำเนิดของการขับเสภา เกิดขึ้นเพราะสมัยกรุงศรีอยุธยาถือว่าการเล่านิทานเป็นการมหรสพอย่างหนึ่ง คือ เมื่อมีการจัดงาน ไม่ว่าจะเป็นงานโกนจุก งานบวช งานแต่งงาน หรืองานศพก็ตาม เจ้าภาพจะว่าจ้างนักเล่านิทานมาเล่านิทานให้แขกในงานฟัง นิทานที่นิยมเล่ากันมากที่สุดคือ เรื่อง ขุนช้างขุนแผน การขับเสภาคงเนื่องมาจากการเล่านิทาน คือ เล่านิทานฟังกันนานๆ เข้าก็จืด จึงมีคนคิดจะเล่าให้แปลกโดยแต่งเป็นบทกลอนให้คล้องจองกันใช้ขับลำนำ มีกรับเป็นเครื่องเคาะจังหวะ
3. ประวัติและวัตถุประสงค์
ประวัติ เรื่องขุนช้างขุนแผนมีผู้แต่งไว้แล้ว ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงอธิบายว่า เสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน เบื้องต้นเล่าเพียงมุขปาฐะ(นิทานขนาดยาว) ต่อมาภายหลังได้มีผู้นำเรื่องขุนช้างขุนแผนมาแต่งเป็นกลอนเสภาแล้วใช้ในการขับเสภา แล้วแต่งเป็นกลอนเสภาเฉพาะบางตอน จึงทำให้เรื่องนี้เป็นที่นิยมแพร่หลายมากขึ้น ครั้นเสียกรุงแล้วบางตอนก็สูญหายไป บางตอนยังมีต้นฉบับเหลืออยู่ จึงเหลือมาถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์แต่เพียงบางตอนเท่านั้น เรื่องไม่ติดต่อกัน พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 มีพระราชประสงค์จะฟื้นฟู ศิลปและวรรณกรรม ให้กลับฟื้นคืนดีเหมือนเดิมจึงโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้กวีหลายคนช่วยกันรวบรวมและแต่งเรื่องขุนช้างขุนแผนต่อเติมขึ้น จนตลอดเรื่อง การชุมนุมกวีครั้งนั้นจึงเป็นการประกวดฝีปากเชิงกลอนอย่างเต็มที่ ทำให้เสภาเรื่องขุนช้างขุนแผนมีความไพเราะเพราะพริ้งมาก กระทั่งถูกยกย่องให้เป็น ยอดวรรณกรรมประเภทกลอนสุภาพ วัตถุประสงค์ เพื่อใช้ในการขับเสภา ให้ความเพลิดเพลินแก่ผู้ฟังผู้อ่าน และแสดงความสามารถเชิงประพันธ์ของผู้แต่ง
4. เนื้อหา และบทวิเคราะห์ภาพสะท้อนของภูมิปัญญาจากวรรณกรรม
วรรณกรรมเรื่องนี้ให้คุณค่าทางสติปัญญา หรือ ความรู้ ความคิด ภูมิปัญญาในด้านต่างๆ มากมาย เช่น ให้ความรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมขนบธรรมเนียมประเพณี ความเชื่อและสภาพสังคมไทยในสมัยกรุงศรีอยุธยาและรัตนโกสินทร์ตอนต้น ตลอดจนสำนวนโวหารที่ไพเราะ และเรื่องที่เกี่ยวกับวิถีชีวิต ค่านิยม ขนบธรรมเนียมประเพณี
วรรณกรรมเรื่องนี้สะท้อนให้เห็นภูมิปัญญาท้องถิ่นจากประเพณีต่างๆ ทั้งจากประเพณีที่เกี่ยวกับชีวิตตั้งแต่เกิดจนถึงตาย ประเพณีที่เกี่ยวกับศาสนาและประเพณีที่เกี่ยวเนื่องกับเทศกาลต่างๆ ไว้ ดังนี้
4.1 วิถีชีวิต วรรณกรรมเรื่องขุนช้างขุนแผน ได้สะท้อนสภาพชีวิตความเป็นอยู่ วิถีชีวิตตั้งแต่อ้อนออกสู่ความเป็นหนุ่มสาว ทั้งชาววัด ชาววัง และชาวบ้าน หมายรวมถึงวิถีชีวิตเจ้ากับไพร่.... คติ ความเชื่อ ค่านิยมของคนในสังคม วัฒนธรรม ประเพณีภูมิปัญญาของชาวบ้านในสมัยนั้นได้ตรงตามสภาพที่เป็นจริงมาก
4.2 ค่านิยม
4.2.1 ความซื่อสัตย์ต่อพระมหากษัตริย์ ในวรรรณกรรมได้กล่าวถึงระบบศักดินาที่ใช้ในการปกครองสมัยก่อน เพราะแม้กระทั่งชื่อเรื่องก็สื่อให้เห็นถึงระบบศักดินาอย่างชัดเจน การถวายตัวในราชสำนัก เพื่อรับใช้และแสดงความซื่อสัตย์ต่อพระมหากษัตริย์ ดังเช่น เมื่อพลายงามโตขึ้นได้ถวายตัวเพื่อรับใช้ในราชการสนองพระมหากรุณาธิคุณ สะท้อนให้เห็นโลกทัศน์ของครอบครัวขุนนางในสมัยกรุงศรีอยุธยาที่มีความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์มาก พระมหากษัตริย์ตรัสสิ่งใดก็จะเชื่อฟัง ตอนที่ พลายงามถวายตัวแด่สมเด็จพระพันวษา
บทเสภา : พลายงามถวายตัว
บทเสภา : พลายงามอาสาทำศึกเมืองเชียงใหม่
ขอเดชะพระกรุณาฝ่าละออง
ดอกไม้ธูปเทียนทองของพลายงาม
จงไปดีมาดีศรีสวัสดิ์
พ้นพิบัติเสี้ยนหนามความเจ็บไข้
จะขอรองมุลิกาพยายาม
พลางกราบสามทีสดับตรับโองการ
ให้ศัตรูพ่ายแพ้แก่ฤทธิไกร
มีชัยได้เวียงเชียงใหม่มา
4.2.2 การบ้านการเรือนของลูกผู้หญิง ลูกผู้หญิงจะต้องได้รับการฝึกฝนการบ้านการเรือน เพื่อให้เป็นกุลสตรีที่เพรียบพร้อม ดังตัวอย่างจากบทเสภา ตอนที่ พระเจ้ากรุงไกรและองค์ราชินีสอนพระธิดา ความว่า
4.2.2
อีกอย่างการงานคร้านทั้งนั้น ทั่นว่าเมียอุบาทว์ชาติกาลี
อันหญิงดีที่เป็นภรรยา กำหนดไว้ในตำราว่าเป็นสี่
4.2.3 การศึกษาเล่าเรียนของลูกผู้ชาย ลูกผู้ชายจะต้องเรียนวิชาภาษาไทย ภาษาบาลี คาถาอาคม อันเป็นประโยชน์ตามความนิยมในสังคมไทยสมัยก่อน ยายทองประศรีบอกกับพลายงาม ความว่า
4.2.3
“ทั้งขอมไทยได้สิ้นก็ยินดี เรียนคัมภีร์พุทธเพทพระเวทมนตร์”
“หนึ่งได้ศึกษาวิชาชาญ เป็นแก่นสารคือคุณอุดหนุนตัว”
4.2.4 การเคารพผู้ใหญ่ สมัยก่อนการทำความเคารพผู้ใหญ่เป็นเรื่องสำคัญ เพราะจะทำให้ผู้ใหญ่เอ็นดู การทำความเคารพจึงสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน ดังเสภาว่า
“เจ้าออแก้วประนมก้มกราบไหว้ ท่านผู้ใหญ่ลูบหลังแล้วสั่งสอน”
4.3 ประเพณี
4.3.1 ประเพณีเกี่ยวกับชีวิต หมายถึง ประเพณีที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของบุคคลตั้งแต่แรกเกิดจนตาย ประเพณีเหล่านี้ล้วนจัดกระทำขึ้นในแต่ละช่วงของชีวิตที่มีการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญๆ ทั้งสิ้น นับตั้งแต่การเตรียมการเกิด การโกนจุด การบวช การแต่งงาน การตาย และการทำศพ
4.3.1.1 ประเพณีการเกิด ในสมัยโบราณวิทยาการด้านการแพทย์ยังไม่เจริญเหมือนปัจจุบัน ฉะนั้นอันตรายจากการเกิดจึงมีมาก ด้วยเหตุนี้จึงเกิดประเพณีและความเชื่อกันมากมายเพื่อป้องกันเหตุร้ายอันอาจเกิดมีขึ้นแก่หญิงมีครรภ์จึงมีหมอตำแยเพื่อช่วยทำคลอด เช่น เมื่อจวนใกล้จะคลอดต้องตามหมอตำแยมาช่วยทำการคลอด เมื่อเด็กคลอดออกมาถึงพื้นเรียกว่า “ตกฟาก” ต้องจดเวลาของเด็กไว้เพราะเชื่อตามหลักโหราศาสตร์ว่าเวลาตกฟากมีความสำคัญต่อตั้งชื่อการทำนายเรื่องโชคชะตาในชีวิตของเด็กดังตัวอย่างจากบทเสภา ตอนที่ ทองประศรีคลอดพลายแก้วแล้วตั้งชื่อตามเวลาตกฟาก
ปีขาลวันอาคารเดือนห้า ตกฟากเวลาสามชั้นฉาย
กรุงจีนเอาแก้วอันแพรวพราย มาถวายพระเจ้ากรุงอยุธายา
ให้ใส่ยอดพระเจดีย์ใหญ่ สร้างไว้แต่เมื่อครั้งกรุงหงสา
เรียกวัดเจ้าพระยาไทยแต่ไรมา ให้ชื่อว่าพลายแก้วผู้แววไว
ส่วนแม่ของเด็กนั้นเมื่อคลอดแล้วต้อง “นอนไฟ หรือ อยู่ไฟ” เพื่อรักษาตัว ดังเสภา ว่า
เอาขึ้นใส่อู่แล้วแกว่งไกว แม่เข้านอนไฟให้ร้อนทั่ว
เดือนนึงออกไฟไม่หมองมัว ขมิ้นแป้งแต่ตัวน่าเอ็นดู
4.3.1.2 ประเพณีการทำขวัญ การจัดพิธีทำขวัญเด็ก พ่อแม่จะจัดบายศรีและเครื่องบัตรพลีสำหรับสังเวยพระภูมิเจ้าที่ เสร็จแล้วก็ทำขวัญ แล้วเอาสายสิญจน์มาเสกผูกข้อมือเด็กทั้ง 2 ข้าง เรียกว่า “ผูกขวัญ” แล้วให้ศีลให้พรตามประเพณี เพื่อเป็นการป้องกันโรคภัยไข้เจ็บ อีกทั้งเป็นการแนะนำสมาชิกใหม่ของครอบครัวให้วงศาคณาญาติรู้จัก ในเสภากล่าวถึง ตอนทำขวัญพลายแก้ว ไว้ว่า
จัดแจกแขกนั่งเป็นวงกลม พงศ์พันธุ์พร้อมอยู่ทั้งปู่ย่า
ยกบายศรีแล้วโห่ขึ้นสามลา เวียนแว่นไปมาโห่เอาชัย
ศรีศรีวันนี้ฤกษ์ดีแล้ว เชิญขวัญพลายแก้วอย่าไปไหน
ขวัญมาอยู่สู่กายให้สบายใจ ชมช้างม้าข้าไททั้งเงินทอง
4.3.1.3 ประเพณีการโกนจุก เมื่อเด็กอายุเข้าสู่วัยรุ่น คือ ชายอายุ 13 ปี หญิงอายุ 11 ปี พ่อแม่ก็จะจัดพิธีโกนจุก เพื่อเป็นการป้องกันโรคภัยไข้เจ็บ และเป็นการแสดงว่าเข้าสู่วัยรุ่น ในเสภาขุนช้างขุนแผนกล่าวถึงโกนจุกพลายงาม ตอนที่ ทองประศรีทำพิธีโกนจุกพลายแก้ว
ไว้ดังนี้
ทองประศรีดีใจได้ฤกษ์ยาม ได้สิบสามปีแล้วหลานแก้วกู
จะโกนจุกสุกดิบขึ้นสิบค่ำ แกทำน้ำยาจีนต้มต้นหมู
4.3.1.4 ประเพณีการบวช สำหรับเด็กผู้ชายพ่อแม่อาจจะให้ไปศึกษาหาความรู้กับพระที่วัดด้วยการนำตัวไปบรรพชาเป็นสามเณร จนมีอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ จึงจะจัดประเพณีการบวช หรืออุปสมบทเป็นพระภิกษุ คนไทยถือว่าการบวชเป็นการอบรมบ่มนิสัย ฉะนั้นผู้ที่บวชเป็นพระแล้วจึงได้รับการยกย่องว่าเป็นบัณฑิตหรือเป็นคนสุกที่ได้รับการบ่มเพาะด้วยหลักธรรมของพระพุทธเจ้าแล้ว ก่อนบวชมีการลาอุปสมบทเพื่อให้ญาติมิตรมีโอกาสอนุโมทนาส่วนบุญและได้กุศล คือได้แสดงความชื่นชมยินดีในการทำบุญของผู้อื่น นอกจากนี้ยังให้ผู้บวชได้มีโอกาสขอขมาโทษผู้อื่นที่ตนเคยล่วงเกินไว้ให้อโหสิกรรมด้วย สำหรับเรื่องขุนช้างขุนแผนในตอนที่ทองประศรีบวชเณรพลายแก้วที่วัดส้มใหญ่ กวีได้กล่าวไว้ว่า ตอนที่ ทองประศรีพาพลายแก้วมาบวชที่วัดส้มใหญ่ ความว่า
ท่านเจ้าขาฉันพาลูกมาบวช ช่วยเสกสวดสอนให้เป็นแก่นสาร
ด้วยขุนไกรบิดามาถึงกาล จะได้อธิษฐานให้ส่วนบุญ
4.3.1.5 ประเพณีการแต่งงาน การแต่งงานถือเป็นการตั้งวงศ์ตระกูลและสืบต่อให้รุ่งเรืองสืบไป ปัจจุบันยังคงประกอบพิธีตามขั้นตอน ในเสภาพิธีเริ่มตั้งแต่การเริ่มต้นสู่ขอ ตอนเรียกสินสอดทองหมั้น ตอนปลูกเรือนหอ ตอนยกขันหมาก ตอนพิธีสวดมนต์ซัดน้ำ และตอนส่งตัว ดังกวีกล่าวไว้ว่า ตอน นางศรีประจันเรียกสินสอด เสภาว่า
“ข้าจะให้ลูกข้าสิบห้าชั่ง ขันหมากมั่งน้อยมากไม่จู้จี้
ผ้าไหว้สำรับหนึ่งพอดี หอมีห้าห้องฝากระดาน”
แต่เมื่อสังคมปัจจุบันได้เปลี่ยนแปลงไป การอยู่กันก่อนแต่ง หรืออยู่กินกันโดยไม่เข้าพิธีแต่งงาน จึงถือว่าเป็นเรื่องธรรมดามากในสังคมปัจจุบัน
4.3.1.6 ประเพณีการตาย พิธีแรกคือ การอาบน้ำศพ เชื่อกันว่าเพื่อชำระสิ่งสกปรกให้ผู้ตายนำวิญญาณที่บริสุทธิ์ไปสู่สุคติ โบราณมีการอาบน้ำศพเพื่อให้สะอาดอย่างแท้จริง แต่ปัจจุบันจัดทำเพียงรดน้ำที่มือของผู้ตายเท่านั้น นอกจากนี้ในปากผู้ตายนิยมใส่เงินไว้โดยมีความเชื่อความคติโบราณว่าเพื่อให้ผู้ตายนำไปให้ผู้รักษาประตูของภพอื่น หรือให้เป็นข้อคิดว่าตอนมีชีวิตอยู่ต้องดิ้นรนแสวงหาทรัพย์ ตายไปแล้วเอาอะไรไปไม่ได้เลย เป็นข้อควรพิจารณาเพื่อขจัดความโลภ การตั้งศพสวดพระอภิธรรม การทำบุญเลี้ยงพระ และจัดพิธีเผาศพ เมื่อเผาเสร็จมีการเก็บอัฐิเพื่อบรรจุไว้ในเจดีย์หรือนำไปลอยน้ำ เช่น ตอนทำศพนางวันทอง เสภา ว่า
เกือบจะบ่ายชายแสงสุริยัน ขุดศพนั้นอาบน้ำและชำระ
ยกศพใส่หีบพระราชทาน เครื่องอานแต่งตั้งเป็นจังหวะ
ปี่ชวาร่ำร้องกลองชนะ นิมนต์พระให้นำพระธรรมไป
พลายชุมพลนุ่งขาวใส่ลอมพอก โปรยข้าวตอกออหน้าหาช้าไม่
4.3.2 ประเพณีเกี่ยวกับเทศกาล วรรณกรรมเรื่องขุนช้างขุนแผนกล่าวถึงประเพณีเกี่ยวกับเทศกาลไว้ 2 อย่าง คือ ประเพณีในเทศกาลสงกรานต์ และสารทไทย ดังนี้
4.3.2.1 เทศกาลสงกรานต์ ในสมัยก่อนเราถือเอาวันสงกรานต์เป็นวันปีใหม่ ซึ่งตรงกับวันที่ 13-14-15 เมษายนของทุกปี ตอนเช้าจะมีการทำบุญที่วัด ตอนบ่ายอาจมีการก่อพระทราย และการรดน้ำขอพรผู้ใหญ่ เพื่อให้เกิดสิริมงคลแก่ตนเองและเป็นการทำบุญร่วมกันตามความเชื่อที่ตนมีต่อศาสนาและพร้อมกะนนี้ก็มักจะจัดให้มีการสนุกสนานรื่นเริงใจควบคู่กับไปด้วย ดังความในคำกลอนที่ว่า
ทีนี้จะกล่าวถึงเรื่องเมืองสุพรรณ ยามสงกรานต์คนนั้นก็พร้อมหน้า
จะทำบุญให้ทานการศรัทธา ต่างมาที่วัดป่าเลไลยก์
หญิงชายน้อยใหญ่ไปแออัด ขนทรายเข้าวัดอยู่ขวักไขว่
ก่อพระเจดีย์ทรายเรี่ยรายไป จะเลี้ยงพระกะไว้ในพรุ่งนี้
4.3.2.2 เทศกาลสารทไทย วันสารทไทยนี้ตรงกับวันแรม 10 ค่ำเดือนสิบ ก่อนถึงวันสารทไทย ชาวบ้านจะจัดหาข้าวของสำหรับไปทำบุญที่วัด แต่ของที่ทุกคนนิยมจัดหาไปเหมือนๆ กัน คือ กระยาสารทและกล้วยไข่ เพื่อไปทำบุญที่วัด และทำพิธีบังสุกุลกรวดน้ำเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้แก่บรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว เพื่อเป็นสิริมงคลแก่ตนเองและเพื่อความสามัคคีในระหว่างเพื่อนบ้าน เสภาเรื่องขุนช้างขุนแผนกล่าวถึงการทำบุญในเทศกาลสารทไทยไว้ว่า
อยู่มาปีระกาสัปตศก ทายกในเมืองสุพรรณนั่น
ถึงเดือนสิบจวนสารทยังขาดวัน คิดกันจะมีเทศน์ด้วยศรัทธา
4.3.3 ประเพณีเกี่ยวกับศาสนา ประเพณีเกี่ยวกับศาสนาที่ปรากฏในวรรณกรรมเรื่องขุนช้างขุนแผน คือ ประเพณีการเทศน์มหาชาติ การเทศน์มหาชาติ มีความเชื่อว่า การได้มีโอกาสฟังเทศน์ มหาชาติครบ 13 กัณฑ์ ในหนึ่งวันถือว่าเป็นอานิสงส์อันยิ่งใหญ่ นับว่าเป็นภูมิปัญญาที่ยิ่งใหญ่มาก ว่าถ้ามนุษย์สามารถฟังเทศนามหาชาติ ที่มีตัวอย่างเช่น พระเวสสันดร ซึ่งมีความตั้งใจ ว่าจะให้ทานทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งร่างกาย จิตใจ ทรัพย์สมบัติ ลาภยศ ลูกเมีย คนใดก็ตามที่ละสิ่งเหล่านี้ได้ย่อมมีคุณอันยิ่งใหญ่ต่อตนเองและผู้อื่น สำหรับวรรณกรรมเรื่องขุนช้างขุนแผนได้กล่าวถึงประเพณีการเทศน์มหาชาติว่าจัดให้มีในเดือน 10 เพื่อทำเนื่องกับเทศกาลสารทไทย กวีได้กล่าวถึงการประกอบพิธีกรรมของชาวบ้านว่า
อยู่มาปีระกาสัปตศก ทายกในเมืองสุพรรณนั่น
ถึงเดือนสิบจวนสารทยังขาดวัน คิดกันจะมีเทศน์ด้วยศรัทธา
พระมหาชาติทั้งสิบสามกัณฑ์ วัดป่าเลไลยก์นั้นพระวัดหน้า
ตาปะขาวเฒ่าแก่แซ่กันมา พร้อมกันนั่งปรึกษาที่วัดนั้น
บ้างก็รับเอาทศพรหิมพานต์ บ้างก็รับเอาทานกัณฑ์นั่น
4.4 ความเชื่อ จากวรรณกรรมขุนช้างขุนแผน ภาพสังคมวัฒนธรรมของไทยในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ในระยะเวลาดังกล่าว “ความเชื่อและไสยศาสตร์” ได้เข้ามามีบทบาทอย่างมากในสังคมไทย ความเชื่อลักษณะนี้จะปรากฏเด่นชัดในการประกอบพิธีธรรม เพราะพิธีกรรมต่าง ๆ จะเข้าไปเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตของคนไทยตั้งแต่เกิดจนตาย ทั้งยังได้รับความเชื่อถือจากคนทุกชั้น ดังนั้น เรื่องราวของขุนช้างขุนแผนจึงกำหนดให้ตัวละครต้องเกี่ยวข้องกับความเชื่อและไสยศาสตร์เกือบตลอดทั้งเรื่อง การพิจารณาเรื่อง “ความเชื่อและไสยศาสตร์” ที่ปรากฏในเรื่องขุนช้างขุนแผน” จึงน่าจะช่วยให้เรามองเห็นความเชื่อและวิธีแก้ปัญหาของคนไทยในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นได้โดยอ้อม
4.4.1 ความฝัน สำหรับความเชื่อที่ปรากฏมากที่สุดในเรื่องขุนช้างขุนแผน ได้แก่ ความเชื่อเรื่องความฝัน ซึ่ง “ความฝัน” ที่ปรากฏในเรื่อง มักจะเป็นความฝันเพื่อบอกเหตุที่กำลังจะเกิดขึ้น สามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภท ใหญ่ ๆ ได้แก่
1.ฝันดี เช่น นางทองประศรีฝันว่าได้แก้ว ต่อมาก็ตั้งครรภ์ พอคลอดลูกออกมาเป็นชาย ก็ตั้งชื่อว่า พลายแก้ว หรือขุนแผน พระเอกของเรื่อง
2.ฝันร้าย เช่น นางวันทองฝันว่ามีคนมาทำร้ายพลายงาม ซึ่งสอดคล้องกับ เหตุการณ์ที่ขุนช้างลวงพลายงาม ลูกชายของวันทองที่เกิดจากขุนแผนไปฆ่าในป่า เนื่องจากรู้สึกอับอาย ที่ผู้คนต่างพากันล้อเลียน
4.4.2 ลางสังหรณ์ ความเชื่ออีกประเภทหนึ่งที่ปรากฏ ได้แก่ “ความเชื่อเรื่องลางสังหรณ์” ส่วนใหญ่ “ลางสังหรณ์” ที่ปรากฏในเรื่องจะเป็นลางร้าย มากกว่า ลางดี เช่น นางวันทองเห็นแมงมุมกำลังทุ่มอกตัวเอง เมื่อคราวที่ พลายงามกำลังจะถูกขุนช้างฆ่าอยู่กลางป่า หรือตอนที่ขุนแผนกำลังจะเอาดาบฟันขุนช้างขณะที่ขุนช้างนอนหลับอยู่ ก็มีจิ้งจกร้องทักขึ้น ขุนแผนจึงได้สติ มิได้ฆ่าขุนช้าง ตัวอย่าง เสภา ตัวอย่าง ลางร้ายที่เณรพลายแก้วเจองู ความว่า
ก้างลงอัฒจันทร์ถึงชั้นล่าง งูเห่าหางเลื้อยฟู่ชูหัวร่อน
แผ่แม่เบี้ยขวางหนทางจร เณรเห็นสังหรณ์เป็นลางร้าย
4.4.3 ไสยศาสตร์ สามารถแบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม ได้แก่
1.ไสยขาว เป็นไสยศาสตร์ที่มิได้สร้างความเดือดร้อนให้แก่ผู้อื่น เช่น การดูเมฆเพื่อหาฤกษ์ยาม
2.ไสยดำ จัดเป็นเดรัจฉานวิชา เป็นไสยศาสตร์ที่มุ่งทำร้ายผู้อื่น สำหรับ ไสยศาสตร์ประเภทนี้ที่ปรากฏในเรื่อง ได้แก่ การทำเสน่ห์ โดยเฉพาะ “การฝังรูปฝังรอย” เช่น ตอนที่เถนขวาดทำเสน่ห์ให้พลายงามมารักนางสร้อยฟ้า ภรรยาน้อย เป็นต้น
4.4.4 เครื่องราง เช่น ผ้าซิ่น หรือ ตะกรุด ก็เช่นเดียวกัน เรามักพบหลักฐานเกี่ยวกับการ "ใช้" ตะกรุดและเครื่องราง ในงานวรรณกรรมไทยหลายต่อหลายเรื่อง เช่น ขุนช้างขุนแผน
4.4.5 พุทธศาสนา ที่ปรากฏในเรื่องขุนช้างขุนแผนนั้น ชาวบ้านมีความเคารพในพระพุทธศาสนา ขนบธรรมเนียมประเพณีไทย เช่น การทำบุญฟังเทศน์ หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา ดังนั้น จึงมีคำสอนที่สอดแทรกอยู่พิธีกรรมทางศาสนา ในเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน อยู่มากมาย
4.4.6 ความเชื่อในอำนาจพระมหากษัตริย์ ในสมัยกรุงศรีอยุธยาจนถึงกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้นถือว่า พระมหากษัตริย์เป็นสมมติเทพ ทรงมีอำนาจสูงสุดในการปกครองบ้านเมืองเเละทรงตัดสินคดีความต่างๆ หากมีผู้ถวายฎีกา รวมทั้งสามารถให้คุณให้โทษแก่ทุกคนได้ ทำให้พสกนิกรมีทั้งความจงรักภักดี ความกลัวเกรง และความเชื่อในอำนาจของพระมหากษัตริย์ ตัวละครทุกตัวในเสภาเรื่อง ขุนช้างขุนแผน ตอนขุนช้างถวายฎีกา ล้วนมีความเชื่อในอำนาจของพระมหากษัตริย์ ทั้งพลายงาม นางวันทอง ขุนแผน และขุนช้าง เเสดงความเชื่อทางด้านนี้ชัดเจนที่สุด
4.5 ภูมิปัญญา
4.5.1 ด้านภาษาและคำสอน การเขียนวรรณกรรมขุนช้างขุนแผนนี้ขึ้นเป็นการถ่ายทอดความคิด เป็นการใช้ภาษาเพื่อการสื่อสาร เพื่อรสชาติทางภาษา เพื่อจูงใจเพื่อความติดใจและประทับใจ ทำให้ผู้อ่านสามารถสังเกต จดจำนำไปใช้ก่อให้เกิดการใช้ภาษาที่ดี ทั้งการใช้คำ การใช้ประโยค การใช้โวหาร การใช้ภาษาในบทเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน เป็นตัวอย่างที่ดีที่คนไทยยึดถือและจดจำได้อย่างขึ้นใจ เช่น สำนวน คำให้พร คำสู่ขวัญ การเปรียบเปรย อุปมา อุปไมย คำคม และสุภาษิต ตอนที่ นางทองประศรีสอนสั่งขุนแผนก่อนไปรับราชการในวัง เป็นสุภาษิตสอนใจ ความว่า
“จงอุตส่าห์อดเปรี้ยวไว้กินหวาน ฝึกหัดราชการให้จงได้”
บทเสภา ตอนที่ขุนแผนต่อว่านางวันทอง เป็นการเปรียบเปรยว่า กา คือ นางวันทอง
“เมื่อแรกเชื่อว่าเป็นเนื้อทับทิมแท้ มาแปรเป็นพลอยหุงไปเสียได้
กาลวงว่าหงส์ให้ปลงใจ ด้วยมิได้ดูหงอนแต่ก่อนมา”
4.5.2 ด้านกฎหมาย ในสมัยก่อนไม่มีตัวบทกฎหมายที่แน่นอน พอมีคดีความอะไรก็ต้องอาศัยพระราชวินิจฉัยของพระมหากษัตริย์ และก็ขึ้นอยู่กับพระอารมณ์ด้วย ดังบทเสภา ตอนที่สมเด็จพระพันวษาจะทรงตัดสินคดีชิงชู้ระหว่างขุนช้างและขุนแผน ความว่า
“ครานั้นสมเด็จนเรนทร์สูร ฟังทูลตามคำลูกขุนว่า”
“วันทองส่งคืนขุนแผนไป ตามในพระราชกฤษฎีกา”
4.5.3 ด้านการรักษาโรค ในบทเสภาได้กล่าวถึง ว่าน ที่มีสรรพคุณที่ใช้เป็นยาในการรักษาโรค ดังเสภา ที่ว่า “ถึงลาวคาดเครื่องอานกินว่านยา ถูกดาบมรณาลงดาดดิน”
4.5.4 ด้านที่อยู่อาศัย “คุ้มขุนช้าง" เป็นเรือนไทยหลังใหญ่ สร้างตามบทพรรณนาเรือนของขุนช้างในวรรณกรรมเรื่องขุนช้างขุนแผน สะท้อนภาพถึงภาวะบ้านเรือนไทยของเศรษฐีไทยโบราณ ว่ามีรั้วรอบขอบคูแบ่งเป็นชั้นเป็นดอยอย่างไร มีไม้ประดับและเลี้ยงสัตว์อะไรบ้าง สถาปัตยกรรมอย่างเรือนไทยโบราณนั้นได้แบ่งห้องหอเรือนนอน หอกลาง ชานดอกไม้ และโรงเรือนข้าทาสเอาไว้เป็นส่วน ที่นอกชานมักใช้ปลูกไม้กระถาง วางอ่างน้ำ ปลูกตะโกดัดและบอนไซ ซึ่งคนแต่ก่อนนิยมปลูกต้นไม้ใส่กระถางไว้เชยชม ดังตัวอย่างเสภาในหัวข้อภูมิปัญญาด้านการเกษตรที่กล่าวถึงนอกชานของเรือนขุนช้างไว้อย่างน่ารื่นรมย์
4.5.5 ด้านการเกษตร ในเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน ตอนขุนแผนขึ้นเรือนขุนช้างเพื่อไปลักพาตัวนางวันทองเมียรักกลับคืนมานั้น บรรยายบรรยากาศบนชานเรือนของขุนช้าง ซึ่งเป็นคหบดีเมืองสุพรรณไว้น่าดูนัก อ่านแล้วรู้สึกรื่นรมย์ มีไม้ดอกไม้ประดับที่ปลูกอยู่กลางชานเรือนของขุนช้าง อาทิเช่น พิกุล ยี่สุ่น ข่อย กุหลาบ มะลิซ้อน เป็นต้น ดังตัวอย่างจากบทเสภา ตอนที่ขุนแผนขึ้นเรือนขุนช้างเพื่อไปลักพาตัวนางวันทองเมียรักกลับคืน ความว่า
“โจนลงกลางชานร้านดอกไม้ ของขุนช้างสร้างไว้อยู่ดาษดื่น”
“กระถางแถวแก้วเกตพิกุลแกม ยี่สุ่นแซมมะสังดัดดูไสว”
“ยี่สุ่นกุหลาบมะลิซ้อน ซ้อนชู้ชูกลิ่นถวิลหา”
“ลำดวนยวนใจให้ไคลคลา สายหยุดหยุดช้าแล้วยืนชม”
“มะสังดัด” หรือบอนไซ ในปัจจุบัน มาอยู่บนเรือนดอกไม้แสดงว่าขุนช้างนั้นเล่น “บอนไซ” มาเก่าพอๆ กับคนญี่ปุ่น นอกจากนี้ก็มีเรือนแขวนกรงนกชนิดต่างๆ รวมทั้งเลี้ยงปลาพันธุ์สวยๆ งามๆ เอาไว้มาก สมฐานานุรูปของเศรษฐีไทยทุกระเบียด
4.5.6 ด้านเครื่องดนตรี บทเพลง และการละเล่น เสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน ตอนทำศพนางวันทอง มีการละเล่นต่างๆ เช่น การละเล่นเพลงปรบไก่ ไว้ด้วยว่า
นายแจ้งก็มาเล่นเต้นปรบไก่ ยกไหล่ใส่ทำนองร้องฉ่าฉ่า
รำแต้แก้ไขกับยายมา เฮฮาครื้นครั่นสนั่นไป
เพลงปรบไก่ เป็นการละเล่นพื้นเมืองมาแต่โบราณ สันนิษฐานว่า จะเก่าแก่กว่าเพลงพื้นบ้านประเภทอื่น ๆ ของภาคกลางผู้เล่นร้องโต้ตอบกันโดยยืนเป็นวงกลม มักร้องหยาบๆ สามารถเล่นเป็นเรื่องได้ เช่น เรื่องขุนช้างขุนแผน เพื่อบวงสรวงศาลประจำหมู่บ้านและทำพิธีขอฝน ชาวบ้านดอนข่อยไร่คาวังบัวที่โยกย้ายไปอยู่ถิ่นอื่นจะกลับมาร่วมพิธีบวงสรวงศาลทุกปี เพราะเชื่อกันว่าถ้าใครไม่กลับมาบูชา ตนเองและสมาชิกในครอบครัวจะประสบเหตุร้ายหรือเจ็บไข้ได้ป่วยทั้งยังเชื่อว่าความทุกข์ร้อนต่างๆที่เกิดขึ้นกับคนในหมู่บ้าน ตลอดจนโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ เมื่อขอความช่วยเหลือจากหลวงพ่อปู่แล้วจะช่วยขจัดปัดเป่าความทุกข์ร้อนทั้งหลายให้สิ้นไป ดังนั้นเมื่อผู้ใดเดือดร้อนจึงมักบนบานหลวงพ่อปู่เสมอและเมื่อพ้นทุกข์แล้วก็จะแก้บนด้วยการเล่นเพลงปรบไก่
มีเครื่องดนตรีที่ปรากฏในวรรณกรรม อาทิเช่น วงมโหรี ปี่อ้อ ซอ แคน ฆ้องวง ระนาด ล้อ ดังตัวอย่างจากบทเสภา ตอนที่ วงมโหรีในพิธีแต่งงานของพระไวยกับศรีมาลา ดังเสภา
“จุดประทีปแสงประเทืองเรืองรอง มโหรีแซ่ซ้องประสานซอ”
“ฆ้องวงหน่งหนอดสอดเสียงซอ ระนาดตอดลอดล้อบรรเลงลอย”
“ที่นักเลงขับร้องก็ตรองเตรียม เคี่ยมเคี้ยเพลี้ยแคนทั้งปี่อ้อ
มีวรรณกรรมตอนหนึ่งใช้เป็นเนื้อเพลงไทย ที่รู้จักกันมากที่สุดเพลงหนึ่ง ก็คือเพลงสุดสงวน มีตัวอย่างเนื้อร้องจากบทเสภา ดังนี้
น้อยเอ๋ยเพราะน้อยฤๅถ้อยคำ หวานฉ่ำจริงแล้วเจ้าแก้วเอ๋ย
เจ้าเนื้อหอมพร้อมชื่นดังอบเชย เงยหน้ามาจะว่าไม่อำพราง
4.5.7 ด้านเครื่องนุ่งห่ม ที่ปรากฏในวรรณกรรม อาทิเช่น ผ้าซิ่น นุ่งยก ห่มส่าน ห่มสไบ เป็นเครื่องแต่งกายของคนในสมัยนั้น การนุ่งยกถ้าเป็นคนที่มีฐานะหน่อยอย่างเช่นขุนช้างดังตัวอย่างจากบทเสภาก็จะนุ่งยกทอง
“บ้างมีทองของแห้งเครื่องแต่งตน เอาซุกซนซ่อนไว้ในผ้าซิ่น”
“ขุนช้างรับหม้อใหม่เข้าในห้อง นุ่งผ้ายกทองแล้วห่มส่าน”
4.5.8 ด้านอาหารและเครื่องมือประกอบอาหาร ภูมิปัญญาที่ปรากฏในวรรณกรรมขุนช้างขนแผนเกี่ยวกับอาหารและเครื่องมือประกอบอาหาร มีมากมาย เช่น ครก สาก หม้อข้าว หม้อแกง ปลาร้า ปลาแห้ง น้ำปลา ส้มลิ้ม การแช่อิ่มอาหาร ดังตัวอย่างจากบทเสภา ตอนที่ ราษฎรเมืองเชียงใหม่เก็บข้าวของย้ายไปกรุงศรีอยุธยาหลังแพ้สงคราม
“บ้างเรื่อยกลักจักกระบอกกรอกปลาร้า ทั้งน้ำปลาปลาแดกเอาแทรกใส่
พริกกะเกลือเนื้อกวางเอาย่างไว้ บ้างเย็บไถ้ใส่ข้าวตากจัดหมากพลู
ครกกระบากสากจ่าปลาร้าปลาแห้ง หม้อข้าวหม้อแกงกระทะหู”
“จึงเย็บไถ้ใส่ขนมกับส้มลิ้ม ทั้งแช่อิ่มจันอับลูกพลับหวาน”
แกงบวน ที่ปรากฏในบทเสภา เป็นอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ นับเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่น เพราะนำสมุนไพรหลายอย่างมาเป็นเครื่องปรุง
และยังเป็นยารักษาโรคได้หลายอย่าง เช่น ใบขี้เหล็กเป็นยาระบาย กระวานแก้ท้องร่วง ตะไคร้ขับลม ปัจจุบันมีการถ่ายทอดภูมิปัญญา วิธีการทำแกงบวน กันในครอบครัวบ้างแต่ไม่มากนัก ทั้งนี้เพราะแกงบวนเป็นอาหารคาวและมีรสเค็ม หวาน และไม่มีรสเผ็ด ซึ่งคนรุ่นหลังจะไม่ชอบนิยม
“ทำน้ำยาแกงขมต้มแกง ผ่าฟักจักแฟงพะแนงไก่ บ้างทำห่อหมกปกปิดไว้ ต้มไข่ผัดปลาแห้งทั้งแกงบวน”
5 คุณค่าภูมิปัญญา
5.1 ภูมิปัญญาที่มีแนวโน้มจะเลือนหายไปจากปัจจุบัน
- การทำคลอดโดยหมอตำแย เนื่องจากวิวัฒนาการทางการแพทย์ในปัจจุบัน มีประสิทธิภาพมาก ทั้งตัวยาที่มีคุณภาพหรือจำนวนหมอที่มีความสามารถมีมากขึ้น ดังนั้นหมอตำแยแบบโบราณซึ่งเป็นภูมิปัญาญาท้องถิ่นจึงมีแนวโน้มที่จะเลือนหายไป หมอตำแยในอดีตสามารถเปรียบเปรยได้ว่าเป็นต้นแบบของตำรวจไทยในเรื่องของการทำคลอด ดังข่าวที่ตำรวจทำคลอดให้หญิงมีครรภ์ในรถแท็กซี่
- การโกนจุก ปัจจุบันแฟชั่นได้เข้ามามีอิทธิพลในสังคมสมัยใหม่เป็นอย่างมากพ่อแม่สมัยใหม่จึงไม่นิยมให้ลูกไว้จุก เนื่องจากไม่ทันสมัย ดังนั้นเมื่อไม่มีเด็กไม่ไว้จุก พิธีการโกนจุกจึงมีแนวโน้มที่จะเลือกหายไป
- การอยู่ไฟ เนื่องด้วยปัจจุบันวิวัฒนาการทางการแพทย์ได้พัฒนาไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากนั้น รวมถึงวิถีชีวิตที่เร่งรีบในการทำงาน ทำให้วิธีการอยู่ไฟของหญิงหลังคลอดในอดีตเรือนหายไป
5.2 ภูมิปัญญาที่ได้รับการถ่ายทอดมาจนถึงปัจจุบัน ตัวอย่าง เช่น
- ประเพณีการบวช เพื่อให้ลูกผู้ชายได้บวชเรียน ศึกษาวิชาความรู้ ศึกษาพระธรรม ชำระจิตใจ
- ประเพณีการตาย เพื่อเป็นเครื่องเตือนสติว่าไม่ให้ทำชั่ว ตายไปก็เอาอะไรไปด้วยไม่ได้
- ประเพณีการแต่งงาน เป็นการทำพิธีเพื่อแสดงให้สังคมรับรู้ว่าชายหญิงได้เป็นสามีภรรยากันอย่างถูกต้องตามประเพณี นั่นคือกุศโลบายเพื่อประกาศว่าผู้ที่แต่งงานเป็นสามีภรรยากัน คนอื่นจะได้ไม่มาคิดผิดลูกผิดเมีย
- การเลี้ยงบอนไซ เนื่องจากสามารถทำรายได้ให้แก่ตนเองและครอบครัวได้ จึงมีการสืบทอดมาถึงปัจจุบัน
5.3 ภูมิปัญญาที่ควรส่งเสริมและพัฒนาเพื่อสร้างโอกาส
5.3.1 ภูมิปัญญาจากวรรณกรรม ทางตรง ที่ควรส่งเสริมและพัฒนาเพื่อสร้างโอกาส
ส้มลิ้ม หรือที่รู้จักกันในปัจจุบันว่า ส้มแผ่น ควรพัฒนาในเรื่องของรูปแบบของตัวผลิตภัณฑ์และมูลค่าเพิ่ม เช่น ทำเป็นวงกลมขนาดพอดีคำแล้วใส่ชาเขียวเพื่อสุขภาพ ห่อด้วยกระดาษแก้วทุกชิ้น รวมถึงคิดแพ็คเกจจิ้งที่มีดีไซน์ใหม่ ๆ ชวนให้น่าซื้อ ซึ่งจะเห็นได้จากรูปแบบของแพ็คเกจจิ้งของขนมญี่ปุ่นที่มีรูปแบบสวยงามน่าซื้อ
บอนไซ เป็นศิลปะของการย่อส่วนต้นไม้ที่มีขนาดใหญ่มาเป็นต้นไม้ขนาดเล็ก โดยมีกิ่งก้านสาขารูปทรงเหมือนธรรมชาติเดิม มาปลูกในภาชนะที่มีขนาดแบนหรือเล็กที่เหมาะสมกับลำต้น ทำให้ดูแล้วสัดส่วนเข้ากันดี เนื่องจากบอนไซเป็นศิลปะที่สวยงาม สามารถสร้างรายได้ให้กับตนเองและครอบครัวได้
5.3.2 ภูมิปัญญาจากวรรณกรรม ทางอ้อม ที่ควรส่งเสริมและพัฒนาเพื่อสร้างโอกาส
การเลี้ยงบอนสี เกิดจาการผูกเรื่องราวของบอนสีกับวรรณกรรมโดยการเชื่อมโยงบุคลิกตัวละครจากวรรณกรรมให้ตรงตามลักษณะบอนสี ปัจจุบันบอนสายพันธุ์เก่า ๆ เช่น บอนในตระกูลขุนช้างขุนแผน ได้แก่บอนขุนแผน บอนขุนช้าง บอนเถรกวาด และบอนแก้วกิริยา เริ่มหายากมากขึ้น ดังนั้นการส่งเสริมการเลี้ยงบอนสีในลักษณะการสะสมและอนุรักษ์ไม่ให้สูญพันธุ์ โดยโยงใยไปสู่การทำเป็นอาชีพ จนกลายเป็นอาชีพอย่างมั่นคงเพื่อส่งขายให้ทั้งภายในและต่างประเทศ จะเป็นการสร้างรายได้ให้กับตนเอง ครอบครัวและชุมชนได้
ภาพวาด ของจักรพันธุ์ โปษยกฤต ส่วนใหญ่จะได้แรงบันดาลใจจากวรรณกรรมไทย เรื่องขุนช้างขุนแผน ซึ่งนับได้ว่าเป็นภูมิปัญญาทางด้านศิลป์ ที่ต่อยอดมาจากวรรณกรรมขุนช้างขุนแผน ซึ่งสามารถสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจได้
การจัดทัวร์สถานที่ทางภูมิศาสตร์ เรื่องขุนช้างขุนแผนเป็นสถานที่มีอยู่จริงๆ ในบ้านเมืองเรา จึงควรนำมาเป็นแหล่งท่องเที่ยวในเชิงวรรณกรรม เช่น จัดทัวร์ เที่ยว..สุพรรณบุรี..ดินแดนกำเนิดวรรณกรรมขุนช้าง-ขุนแผน ซึ่งมี วัดป่าเลไลยก์ คุ้มขุนช้าง ที่น่าดูชม
6 บทสรุป
การศึกษาเรื่องราวต่างๆ จากวรรณกรรมย่อมได้ข้อมูลที่แสดงถึงภูมิปัญญาท้องถิ่นไทยในอดีตได้อย่างแท้จริง กระบวนวรรณกรรมไทยทั้งหมดเสภาขุนช้างขุนแผน สะท้อนให้เห็นถึงขนบธรรมเนียม จารีต ประเพณี ความเชื่อ ศิลป การปกครอง เศรษฐกิจ การศึกษา การศาล ศาสนา การคมนาคม ภูมิศาสตร์ ความเป็นอยู่ชีวิตในสังคมและสิ่งที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน ตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตายของคนไทยในระดับชั้นธรรมดาสามัญ
ภูมิปัญญาท้องถิ่นมีความเชื่อมโยงกันในลักษณะที่เป็นรูปธรรม คือ การทำพิธีกรรมต่างๆ ในช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงตามเหตุการณ์ที่สำคัญของชีวิต และในลักษณะที่เป็นนามธรรม คือ ความรู้ ความเชื่อ วิธีการประพฤติปฏิบัติตน เริ่มตั้งแต่ประเพณีการเกิด เป็นการทำพิธีเพื่อให้หญิงมีครรภ์คลอดลูกง่ายและปลอดภัยทั้งมารดาและทารก ประเพณีการทำขวัญ เป็นการทำพิธีเพื่อให้เกิดความเป็นสิริมงคลและเพื่อป้องกันโรคภัยไข้เจ็บ ประเพณีการโกนจุกเป็นการทำพิธีเพื่อเปลี่ยนสถานภาพจากวัยเด็กเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ ประเพณีการบวช เป็นการทำพิธีเพื่อให้เด็กผู้ชายได้ศึกษาวิชาความรู้และศีลธรรมจรรยาจากพระสงฆ์ที่วัด ประเพณีการแต่งงาน เป็นการทำพิธีเพื่อแสดงให้สังคมรับรู้ว่าชายหญิงได้เป็นสามีภรรยากันอย่างถูกต้องตามประเพณี และเป็นวิธีการสืบเผ่าพันธุ์ของมนุษย์ให้คงอยู่ต่อไป ประเพณีการตาย เป็นการทำพิธีโดยมีจุดประสงค์เพื่อต้องการให้วิญญาณของผู้ตายไปสู่โลกหน้าอยู่มีความสุข ภูมิปัญญาท้องถิ่นเหล่านี้สะท้อนให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคนอื่นๆ ในสังคมคนกับธรรมชาติ และคนกับสิ่งเหนือธรรมชาติภูมิปัญญาท้องถิ่นจึงเป็นกระบวนการทางความคิดในการสร้างแบบแผนการดำเนินชีวิต เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต และเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจจิตใจของคนให้มั่นคง เข้มแข็ง เกิดความสบายใจและเพื่อประโยชน์ในการดำเนินชีวิตของมนุษย์ ให้สามารถอยู่รวมกันได้อย่างมั่นคงปลอดภัย และสงบสุข
ข้อสำคัญ ภูมิปัญญาท้องถิ่นที่ปรากฏในวรรณกรรม ยังนำมาทำประโยชน์เพื่อการดำรงชีพ โดยสามารถโยงใยไปสู่การทำเป็นอาชีพ จนกลายเป็นอาชีพอย่างมั่นคงเพื่อส่งขายให้ทั้งภายในและต่างประเทศ นำมาซึ่งรายได้และความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
7 รายการอ้างอิง
ม่าน เมืองพรหม. ขุนช้างขุนแผน (กรุงเทพฯ : อมรการพิมพ์ , 2543)
สายทิพย์ นุกูลกิจ. วรรณกรรมเกี่ยวกับขนบประเพณี (กรุงเทพฯ : การพิมพ์พระนคร, 2533)
ชวน เพชรแก้ว. การศึกษาวรรณกรรมไทย (กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์โอเดียนสโตร์, 2524)
วิเชียร เกษประทุม. เล่าเรื่องขุนช้างขุนแผน (กรุงเทพฯ : เรืองแสงการพิมพ์, 2513)
โกวิท ตั้งตรงจิตร. คุยเฟื่องเรื่องขุนช้างขุนแผน (กรุงเทพฯ : สุวีริยาสาส์น, 2547)
ภิญโญ ศรีจำลอง. ความยิ่งใหญ่แห่งวรรณกรรมรัตนโกสินทร์ (กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์,2548)
เอกรัตน์ อุดมพร. วรรณกรรมสมัยรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 1-2-3 (กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์,2548)
http://www.human.cmu.ac.th/~thai/sompong/local%20lit.htm
http://www.thaiedresearch.org/result/detail_add.php?id=2404
http://www.siamcaladium.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=500319&Ntype=9
http://www.mcu.ac.th/site/thesisdetails.php?thesis=253907
http://www.nairobroo.com/76/modules.php?name=News&file=article&sid=121
http://www.ayumongol-sonakul.com/article_9.html
http://www.thaipoet.net/index.php?lay=show&ac=article&Id=564986&Ntype=2
http://www.wt.ac.th/~benjamas/head01.html
http://www.greenthailand.net/tbonsai/lesson11/lesson11.htm
http://www.ku.ac.th/e-magazine/may48/know/home.html
http://guru.sanook.com/encyclopedia/
http://www.banlat.com/html/modules.php?name=News&file=print&sid=18
http://courseware.triamudom.ac.th/index.php?mod=Courses&op=course_lesson&cid=273&sid=
ผู้ศึกษามีความสนใจที่จะศึกษาภูมิปัญญาท้องถิ่นจากประเพณี วิถีชีวิต ความเชื่อ และค่านิยมในวรรณกรรมเรื่องขุนช้างขุนแผน การศึกษาวรรณกรรมเรื่องขุนช้างขุนแผน จะทำให้ผู้ศึกษาทราบถึงภูมิปัญญาท้องถิ่นที่ปรากฏอยู่ในสมัยที่แต่งวรรณกรรมเรื่องนี้ขึ้น นอกจากนี้ยังเป็นวรรณกรรมที่แต่งขึ้นในช่วงเวลาที่อิทธิพลทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจากตะวันตกยังไม่แพร่กระจายเข้าสู่สังคมไทยมากนัก โดยพิจารณาจากลักษณะของวรรณกรรมที่มีเนื้อหาเรื่องราวเกี่ยวกับวิถีชีวิตของชาวบ้าน ซึ่งจะสะท้อนให้เห็นภูมิปัญญาท้องถิ่นที่มีลักษณะเป็นไทยได้ตรงตามสภาพที่เป็นจริง
ดังนั้น การศึกษาวรรณกรรมเรื่องขุนช้างขุนแผน จะทำให้ผู้ศึกษาทราบถึงภูมิปัญญาท้องถิ่นที่ปรากฏอยู่ในสมัยที่แต่งวรรณกรรมเรื่องนี้ และนำไปใช้เป็นแนวทางในการศึกษาภูมิปัญญาท้องถิ่นของไทยให้กว้างขวางลึกซึ้งยิ่งขึ้น อีกทั้งเพื่อส่งเสริมเผยแพร่ให้ชาวบ้านนำภูมิปัญญาเหล่านั้นไปสืบทอดปรับปรุงต่อไป
2. ภูมิหลัง
2.1 ภูมิหลังของเรื่อง เรื่องขุนข้างขุนแผน มีผู้สันนิษฐานว่าเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีในแผ่นดินสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 ระหว่าง พ.ศ. 2034-2072 เนื้อเรื่องเอาเกร็ดประวัติศาสตร์ตอนไทยทำสงครามกับเชียงใหม่และล้านช้าง แล้วเอามาผูกกับวิถีชีวิตของชาวเมืองสุพรรณบุรีและกาญจนบุรี แล้วเล่าสืบต่อกันมาจนกลายเป็นนิทานพื้นเมืองของเมืองสุพรรณบุรีและกาญจนบุรี เรื่องนี้มีปรากฏอยู่ในหนังสือ “คำให้การของชาวกรุงเก่า” ซึ่งนับว่าเป็นเค้าที่มาของเรื่องขุนช้างขุนแผน นับเป็นนิทานพื้นบ้านเรื่องยาวที่สุดของชาวสุพรรณบุรี ครั้งกรุงศรีอยุธยาตอนต้น คือ สมัยสมเด็จพระพันวษา ซึ่งเข้าใจกันว่า คือ สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 เพราะมีเนื้อเรื่องตรงกับประวัติศาสตร์ ตอนทำศึกเมืองเชียงใหม่
2.2 ภูมิหลังของกลอนเสภา มีผู้สันนิษฐานกำเนิดของการขับเสภา เกิดขึ้นเพราะสมัยกรุงศรีอยุธยาถือว่าการเล่านิทานเป็นการมหรสพอย่างหนึ่ง คือ เมื่อมีการจัดงาน ไม่ว่าจะเป็นงานโกนจุก งานบวช งานแต่งงาน หรืองานศพก็ตาม เจ้าภาพจะว่าจ้างนักเล่านิทานมาเล่านิทานให้แขกในงานฟัง นิทานที่นิยมเล่ากันมากที่สุดคือ เรื่อง ขุนช้างขุนแผน การขับเสภาคงเนื่องมาจากการเล่านิทาน คือ เล่านิทานฟังกันนานๆ เข้าก็จืด จึงมีคนคิดจะเล่าให้แปลกโดยแต่งเป็นบทกลอนให้คล้องจองกันใช้ขับลำนำ มีกรับเป็นเครื่องเคาะจังหวะ
3. ประวัติและวัตถุประสงค์
ประวัติ เรื่องขุนช้างขุนแผนมีผู้แต่งไว้แล้ว ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงอธิบายว่า เสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน เบื้องต้นเล่าเพียงมุขปาฐะ(นิทานขนาดยาว) ต่อมาภายหลังได้มีผู้นำเรื่องขุนช้างขุนแผนมาแต่งเป็นกลอนเสภาแล้วใช้ในการขับเสภา แล้วแต่งเป็นกลอนเสภาเฉพาะบางตอน จึงทำให้เรื่องนี้เป็นที่นิยมแพร่หลายมากขึ้น ครั้นเสียกรุงแล้วบางตอนก็สูญหายไป บางตอนยังมีต้นฉบับเหลืออยู่ จึงเหลือมาถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์แต่เพียงบางตอนเท่านั้น เรื่องไม่ติดต่อกัน พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 มีพระราชประสงค์จะฟื้นฟู ศิลปและวรรณกรรม ให้กลับฟื้นคืนดีเหมือนเดิมจึงโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้กวีหลายคนช่วยกันรวบรวมและแต่งเรื่องขุนช้างขุนแผนต่อเติมขึ้น จนตลอดเรื่อง การชุมนุมกวีครั้งนั้นจึงเป็นการประกวดฝีปากเชิงกลอนอย่างเต็มที่ ทำให้เสภาเรื่องขุนช้างขุนแผนมีความไพเราะเพราะพริ้งมาก กระทั่งถูกยกย่องให้เป็น ยอดวรรณกรรมประเภทกลอนสุภาพ วัตถุประสงค์ เพื่อใช้ในการขับเสภา ให้ความเพลิดเพลินแก่ผู้ฟังผู้อ่าน และแสดงความสามารถเชิงประพันธ์ของผู้แต่ง
4. เนื้อหา และบทวิเคราะห์ภาพสะท้อนของภูมิปัญญาจากวรรณกรรม
วรรณกรรมเรื่องนี้ให้คุณค่าทางสติปัญญา หรือ ความรู้ ความคิด ภูมิปัญญาในด้านต่างๆ มากมาย เช่น ให้ความรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมขนบธรรมเนียมประเพณี ความเชื่อและสภาพสังคมไทยในสมัยกรุงศรีอยุธยาและรัตนโกสินทร์ตอนต้น ตลอดจนสำนวนโวหารที่ไพเราะ และเรื่องที่เกี่ยวกับวิถีชีวิต ค่านิยม ขนบธรรมเนียมประเพณี
วรรณกรรมเรื่องนี้สะท้อนให้เห็นภูมิปัญญาท้องถิ่นจากประเพณีต่างๆ ทั้งจากประเพณีที่เกี่ยวกับชีวิตตั้งแต่เกิดจนถึงตาย ประเพณีที่เกี่ยวกับศาสนาและประเพณีที่เกี่ยวเนื่องกับเทศกาลต่างๆ ไว้ ดังนี้
4.1 วิถีชีวิต วรรณกรรมเรื่องขุนช้างขุนแผน ได้สะท้อนสภาพชีวิตความเป็นอยู่ วิถีชีวิตตั้งแต่อ้อนออกสู่ความเป็นหนุ่มสาว ทั้งชาววัด ชาววัง และชาวบ้าน หมายรวมถึงวิถีชีวิตเจ้ากับไพร่.... คติ ความเชื่อ ค่านิยมของคนในสังคม วัฒนธรรม ประเพณีภูมิปัญญาของชาวบ้านในสมัยนั้นได้ตรงตามสภาพที่เป็นจริงมาก
4.2 ค่านิยม
4.2.1 ความซื่อสัตย์ต่อพระมหากษัตริย์ ในวรรรณกรรมได้กล่าวถึงระบบศักดินาที่ใช้ในการปกครองสมัยก่อน เพราะแม้กระทั่งชื่อเรื่องก็สื่อให้เห็นถึงระบบศักดินาอย่างชัดเจน การถวายตัวในราชสำนัก เพื่อรับใช้และแสดงความซื่อสัตย์ต่อพระมหากษัตริย์ ดังเช่น เมื่อพลายงามโตขึ้นได้ถวายตัวเพื่อรับใช้ในราชการสนองพระมหากรุณาธิคุณ สะท้อนให้เห็นโลกทัศน์ของครอบครัวขุนนางในสมัยกรุงศรีอยุธยาที่มีความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์มาก พระมหากษัตริย์ตรัสสิ่งใดก็จะเชื่อฟัง ตอนที่ พลายงามถวายตัวแด่สมเด็จพระพันวษา
บทเสภา : พลายงามถวายตัว
บทเสภา : พลายงามอาสาทำศึกเมืองเชียงใหม่
ขอเดชะพระกรุณาฝ่าละออง
ดอกไม้ธูปเทียนทองของพลายงาม
จงไปดีมาดีศรีสวัสดิ์
พ้นพิบัติเสี้ยนหนามความเจ็บไข้
จะขอรองมุลิกาพยายาม
พลางกราบสามทีสดับตรับโองการ
ให้ศัตรูพ่ายแพ้แก่ฤทธิไกร
มีชัยได้เวียงเชียงใหม่มา
4.2.2 การบ้านการเรือนของลูกผู้หญิง ลูกผู้หญิงจะต้องได้รับการฝึกฝนการบ้านการเรือน เพื่อให้เป็นกุลสตรีที่เพรียบพร้อม ดังตัวอย่างจากบทเสภา ตอนที่ พระเจ้ากรุงไกรและองค์ราชินีสอนพระธิดา ความว่า
4.2.2
อีกอย่างการงานคร้านทั้งนั้น ทั่นว่าเมียอุบาทว์ชาติกาลี
อันหญิงดีที่เป็นภรรยา กำหนดไว้ในตำราว่าเป็นสี่
4.2.3 การศึกษาเล่าเรียนของลูกผู้ชาย ลูกผู้ชายจะต้องเรียนวิชาภาษาไทย ภาษาบาลี คาถาอาคม อันเป็นประโยชน์ตามความนิยมในสังคมไทยสมัยก่อน ยายทองประศรีบอกกับพลายงาม ความว่า
4.2.3
“ทั้งขอมไทยได้สิ้นก็ยินดี เรียนคัมภีร์พุทธเพทพระเวทมนตร์”
“หนึ่งได้ศึกษาวิชาชาญ เป็นแก่นสารคือคุณอุดหนุนตัว”
4.2.4 การเคารพผู้ใหญ่ สมัยก่อนการทำความเคารพผู้ใหญ่เป็นเรื่องสำคัญ เพราะจะทำให้ผู้ใหญ่เอ็นดู การทำความเคารพจึงสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน ดังเสภาว่า
“เจ้าออแก้วประนมก้มกราบไหว้ ท่านผู้ใหญ่ลูบหลังแล้วสั่งสอน”
4.3 ประเพณี
4.3.1 ประเพณีเกี่ยวกับชีวิต หมายถึง ประเพณีที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของบุคคลตั้งแต่แรกเกิดจนตาย ประเพณีเหล่านี้ล้วนจัดกระทำขึ้นในแต่ละช่วงของชีวิตที่มีการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญๆ ทั้งสิ้น นับตั้งแต่การเตรียมการเกิด การโกนจุด การบวช การแต่งงาน การตาย และการทำศพ
4.3.1.1 ประเพณีการเกิด ในสมัยโบราณวิทยาการด้านการแพทย์ยังไม่เจริญเหมือนปัจจุบัน ฉะนั้นอันตรายจากการเกิดจึงมีมาก ด้วยเหตุนี้จึงเกิดประเพณีและความเชื่อกันมากมายเพื่อป้องกันเหตุร้ายอันอาจเกิดมีขึ้นแก่หญิงมีครรภ์จึงมีหมอตำแยเพื่อช่วยทำคลอด เช่น เมื่อจวนใกล้จะคลอดต้องตามหมอตำแยมาช่วยทำการคลอด เมื่อเด็กคลอดออกมาถึงพื้นเรียกว่า “ตกฟาก” ต้องจดเวลาของเด็กไว้เพราะเชื่อตามหลักโหราศาสตร์ว่าเวลาตกฟากมีความสำคัญต่อตั้งชื่อการทำนายเรื่องโชคชะตาในชีวิตของเด็กดังตัวอย่างจากบทเสภา ตอนที่ ทองประศรีคลอดพลายแก้วแล้วตั้งชื่อตามเวลาตกฟาก
ปีขาลวันอาคารเดือนห้า ตกฟากเวลาสามชั้นฉาย
กรุงจีนเอาแก้วอันแพรวพราย มาถวายพระเจ้ากรุงอยุธายา
ให้ใส่ยอดพระเจดีย์ใหญ่ สร้างไว้แต่เมื่อครั้งกรุงหงสา
เรียกวัดเจ้าพระยาไทยแต่ไรมา ให้ชื่อว่าพลายแก้วผู้แววไว
ส่วนแม่ของเด็กนั้นเมื่อคลอดแล้วต้อง “นอนไฟ หรือ อยู่ไฟ” เพื่อรักษาตัว ดังเสภา ว่า
เอาขึ้นใส่อู่แล้วแกว่งไกว แม่เข้านอนไฟให้ร้อนทั่ว
เดือนนึงออกไฟไม่หมองมัว ขมิ้นแป้งแต่ตัวน่าเอ็นดู
4.3.1.2 ประเพณีการทำขวัญ การจัดพิธีทำขวัญเด็ก พ่อแม่จะจัดบายศรีและเครื่องบัตรพลีสำหรับสังเวยพระภูมิเจ้าที่ เสร็จแล้วก็ทำขวัญ แล้วเอาสายสิญจน์มาเสกผูกข้อมือเด็กทั้ง 2 ข้าง เรียกว่า “ผูกขวัญ” แล้วให้ศีลให้พรตามประเพณี เพื่อเป็นการป้องกันโรคภัยไข้เจ็บ อีกทั้งเป็นการแนะนำสมาชิกใหม่ของครอบครัวให้วงศาคณาญาติรู้จัก ในเสภากล่าวถึง ตอนทำขวัญพลายแก้ว ไว้ว่า
จัดแจกแขกนั่งเป็นวงกลม พงศ์พันธุ์พร้อมอยู่ทั้งปู่ย่า
ยกบายศรีแล้วโห่ขึ้นสามลา เวียนแว่นไปมาโห่เอาชัย
ศรีศรีวันนี้ฤกษ์ดีแล้ว เชิญขวัญพลายแก้วอย่าไปไหน
ขวัญมาอยู่สู่กายให้สบายใจ ชมช้างม้าข้าไททั้งเงินทอง
4.3.1.3 ประเพณีการโกนจุก เมื่อเด็กอายุเข้าสู่วัยรุ่น คือ ชายอายุ 13 ปี หญิงอายุ 11 ปี พ่อแม่ก็จะจัดพิธีโกนจุก เพื่อเป็นการป้องกันโรคภัยไข้เจ็บ และเป็นการแสดงว่าเข้าสู่วัยรุ่น ในเสภาขุนช้างขุนแผนกล่าวถึงโกนจุกพลายงาม ตอนที่ ทองประศรีทำพิธีโกนจุกพลายแก้ว
ไว้ดังนี้
ทองประศรีดีใจได้ฤกษ์ยาม ได้สิบสามปีแล้วหลานแก้วกู
จะโกนจุกสุกดิบขึ้นสิบค่ำ แกทำน้ำยาจีนต้มต้นหมู
4.3.1.4 ประเพณีการบวช สำหรับเด็กผู้ชายพ่อแม่อาจจะให้ไปศึกษาหาความรู้กับพระที่วัดด้วยการนำตัวไปบรรพชาเป็นสามเณร จนมีอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ จึงจะจัดประเพณีการบวช หรืออุปสมบทเป็นพระภิกษุ คนไทยถือว่าการบวชเป็นการอบรมบ่มนิสัย ฉะนั้นผู้ที่บวชเป็นพระแล้วจึงได้รับการยกย่องว่าเป็นบัณฑิตหรือเป็นคนสุกที่ได้รับการบ่มเพาะด้วยหลักธรรมของพระพุทธเจ้าแล้ว ก่อนบวชมีการลาอุปสมบทเพื่อให้ญาติมิตรมีโอกาสอนุโมทนาส่วนบุญและได้กุศล คือได้แสดงความชื่นชมยินดีในการทำบุญของผู้อื่น นอกจากนี้ยังให้ผู้บวชได้มีโอกาสขอขมาโทษผู้อื่นที่ตนเคยล่วงเกินไว้ให้อโหสิกรรมด้วย สำหรับเรื่องขุนช้างขุนแผนในตอนที่ทองประศรีบวชเณรพลายแก้วที่วัดส้มใหญ่ กวีได้กล่าวไว้ว่า ตอนที่ ทองประศรีพาพลายแก้วมาบวชที่วัดส้มใหญ่ ความว่า
ท่านเจ้าขาฉันพาลูกมาบวช ช่วยเสกสวดสอนให้เป็นแก่นสาร
ด้วยขุนไกรบิดามาถึงกาล จะได้อธิษฐานให้ส่วนบุญ
4.3.1.5 ประเพณีการแต่งงาน การแต่งงานถือเป็นการตั้งวงศ์ตระกูลและสืบต่อให้รุ่งเรืองสืบไป ปัจจุบันยังคงประกอบพิธีตามขั้นตอน ในเสภาพิธีเริ่มตั้งแต่การเริ่มต้นสู่ขอ ตอนเรียกสินสอดทองหมั้น ตอนปลูกเรือนหอ ตอนยกขันหมาก ตอนพิธีสวดมนต์ซัดน้ำ และตอนส่งตัว ดังกวีกล่าวไว้ว่า ตอน นางศรีประจันเรียกสินสอด เสภาว่า
“ข้าจะให้ลูกข้าสิบห้าชั่ง ขันหมากมั่งน้อยมากไม่จู้จี้
ผ้าไหว้สำรับหนึ่งพอดี หอมีห้าห้องฝากระดาน”
แต่เมื่อสังคมปัจจุบันได้เปลี่ยนแปลงไป การอยู่กันก่อนแต่ง หรืออยู่กินกันโดยไม่เข้าพิธีแต่งงาน จึงถือว่าเป็นเรื่องธรรมดามากในสังคมปัจจุบัน
4.3.1.6 ประเพณีการตาย พิธีแรกคือ การอาบน้ำศพ เชื่อกันว่าเพื่อชำระสิ่งสกปรกให้ผู้ตายนำวิญญาณที่บริสุทธิ์ไปสู่สุคติ โบราณมีการอาบน้ำศพเพื่อให้สะอาดอย่างแท้จริง แต่ปัจจุบันจัดทำเพียงรดน้ำที่มือของผู้ตายเท่านั้น นอกจากนี้ในปากผู้ตายนิยมใส่เงินไว้โดยมีความเชื่อความคติโบราณว่าเพื่อให้ผู้ตายนำไปให้ผู้รักษาประตูของภพอื่น หรือให้เป็นข้อคิดว่าตอนมีชีวิตอยู่ต้องดิ้นรนแสวงหาทรัพย์ ตายไปแล้วเอาอะไรไปไม่ได้เลย เป็นข้อควรพิจารณาเพื่อขจัดความโลภ การตั้งศพสวดพระอภิธรรม การทำบุญเลี้ยงพระ และจัดพิธีเผาศพ เมื่อเผาเสร็จมีการเก็บอัฐิเพื่อบรรจุไว้ในเจดีย์หรือนำไปลอยน้ำ เช่น ตอนทำศพนางวันทอง เสภา ว่า
เกือบจะบ่ายชายแสงสุริยัน ขุดศพนั้นอาบน้ำและชำระ
ยกศพใส่หีบพระราชทาน เครื่องอานแต่งตั้งเป็นจังหวะ
ปี่ชวาร่ำร้องกลองชนะ นิมนต์พระให้นำพระธรรมไป
พลายชุมพลนุ่งขาวใส่ลอมพอก โปรยข้าวตอกออหน้าหาช้าไม่
4.3.2 ประเพณีเกี่ยวกับเทศกาล วรรณกรรมเรื่องขุนช้างขุนแผนกล่าวถึงประเพณีเกี่ยวกับเทศกาลไว้ 2 อย่าง คือ ประเพณีในเทศกาลสงกรานต์ และสารทไทย ดังนี้
4.3.2.1 เทศกาลสงกรานต์ ในสมัยก่อนเราถือเอาวันสงกรานต์เป็นวันปีใหม่ ซึ่งตรงกับวันที่ 13-14-15 เมษายนของทุกปี ตอนเช้าจะมีการทำบุญที่วัด ตอนบ่ายอาจมีการก่อพระทราย และการรดน้ำขอพรผู้ใหญ่ เพื่อให้เกิดสิริมงคลแก่ตนเองและเป็นการทำบุญร่วมกันตามความเชื่อที่ตนมีต่อศาสนาและพร้อมกะนนี้ก็มักจะจัดให้มีการสนุกสนานรื่นเริงใจควบคู่กับไปด้วย ดังความในคำกลอนที่ว่า
ทีนี้จะกล่าวถึงเรื่องเมืองสุพรรณ ยามสงกรานต์คนนั้นก็พร้อมหน้า
จะทำบุญให้ทานการศรัทธา ต่างมาที่วัดป่าเลไลยก์
หญิงชายน้อยใหญ่ไปแออัด ขนทรายเข้าวัดอยู่ขวักไขว่
ก่อพระเจดีย์ทรายเรี่ยรายไป จะเลี้ยงพระกะไว้ในพรุ่งนี้
4.3.2.2 เทศกาลสารทไทย วันสารทไทยนี้ตรงกับวันแรม 10 ค่ำเดือนสิบ ก่อนถึงวันสารทไทย ชาวบ้านจะจัดหาข้าวของสำหรับไปทำบุญที่วัด แต่ของที่ทุกคนนิยมจัดหาไปเหมือนๆ กัน คือ กระยาสารทและกล้วยไข่ เพื่อไปทำบุญที่วัด และทำพิธีบังสุกุลกรวดน้ำเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้แก่บรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว เพื่อเป็นสิริมงคลแก่ตนเองและเพื่อความสามัคคีในระหว่างเพื่อนบ้าน เสภาเรื่องขุนช้างขุนแผนกล่าวถึงการทำบุญในเทศกาลสารทไทยไว้ว่า
อยู่มาปีระกาสัปตศก ทายกในเมืองสุพรรณนั่น
ถึงเดือนสิบจวนสารทยังขาดวัน คิดกันจะมีเทศน์ด้วยศรัทธา
4.3.3 ประเพณีเกี่ยวกับศาสนา ประเพณีเกี่ยวกับศาสนาที่ปรากฏในวรรณกรรมเรื่องขุนช้างขุนแผน คือ ประเพณีการเทศน์มหาชาติ การเทศน์มหาชาติ มีความเชื่อว่า การได้มีโอกาสฟังเทศน์ มหาชาติครบ 13 กัณฑ์ ในหนึ่งวันถือว่าเป็นอานิสงส์อันยิ่งใหญ่ นับว่าเป็นภูมิปัญญาที่ยิ่งใหญ่มาก ว่าถ้ามนุษย์สามารถฟังเทศนามหาชาติ ที่มีตัวอย่างเช่น พระเวสสันดร ซึ่งมีความตั้งใจ ว่าจะให้ทานทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งร่างกาย จิตใจ ทรัพย์สมบัติ ลาภยศ ลูกเมีย คนใดก็ตามที่ละสิ่งเหล่านี้ได้ย่อมมีคุณอันยิ่งใหญ่ต่อตนเองและผู้อื่น สำหรับวรรณกรรมเรื่องขุนช้างขุนแผนได้กล่าวถึงประเพณีการเทศน์มหาชาติว่าจัดให้มีในเดือน 10 เพื่อทำเนื่องกับเทศกาลสารทไทย กวีได้กล่าวถึงการประกอบพิธีกรรมของชาวบ้านว่า
อยู่มาปีระกาสัปตศก ทายกในเมืองสุพรรณนั่น
ถึงเดือนสิบจวนสารทยังขาดวัน คิดกันจะมีเทศน์ด้วยศรัทธา
พระมหาชาติทั้งสิบสามกัณฑ์ วัดป่าเลไลยก์นั้นพระวัดหน้า
ตาปะขาวเฒ่าแก่แซ่กันมา พร้อมกันนั่งปรึกษาที่วัดนั้น
บ้างก็รับเอาทศพรหิมพานต์ บ้างก็รับเอาทานกัณฑ์นั่น
4.4 ความเชื่อ จากวรรณกรรมขุนช้างขุนแผน ภาพสังคมวัฒนธรรมของไทยในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ในระยะเวลาดังกล่าว “ความเชื่อและไสยศาสตร์” ได้เข้ามามีบทบาทอย่างมากในสังคมไทย ความเชื่อลักษณะนี้จะปรากฏเด่นชัดในการประกอบพิธีธรรม เพราะพิธีกรรมต่าง ๆ จะเข้าไปเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตของคนไทยตั้งแต่เกิดจนตาย ทั้งยังได้รับความเชื่อถือจากคนทุกชั้น ดังนั้น เรื่องราวของขุนช้างขุนแผนจึงกำหนดให้ตัวละครต้องเกี่ยวข้องกับความเชื่อและไสยศาสตร์เกือบตลอดทั้งเรื่อง การพิจารณาเรื่อง “ความเชื่อและไสยศาสตร์” ที่ปรากฏในเรื่องขุนช้างขุนแผน” จึงน่าจะช่วยให้เรามองเห็นความเชื่อและวิธีแก้ปัญหาของคนไทยในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นได้โดยอ้อม
4.4.1 ความฝัน สำหรับความเชื่อที่ปรากฏมากที่สุดในเรื่องขุนช้างขุนแผน ได้แก่ ความเชื่อเรื่องความฝัน ซึ่ง “ความฝัน” ที่ปรากฏในเรื่อง มักจะเป็นความฝันเพื่อบอกเหตุที่กำลังจะเกิดขึ้น สามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภท ใหญ่ ๆ ได้แก่
1.ฝันดี เช่น นางทองประศรีฝันว่าได้แก้ว ต่อมาก็ตั้งครรภ์ พอคลอดลูกออกมาเป็นชาย ก็ตั้งชื่อว่า พลายแก้ว หรือขุนแผน พระเอกของเรื่อง
2.ฝันร้าย เช่น นางวันทองฝันว่ามีคนมาทำร้ายพลายงาม ซึ่งสอดคล้องกับ เหตุการณ์ที่ขุนช้างลวงพลายงาม ลูกชายของวันทองที่เกิดจากขุนแผนไปฆ่าในป่า เนื่องจากรู้สึกอับอาย ที่ผู้คนต่างพากันล้อเลียน
4.4.2 ลางสังหรณ์ ความเชื่ออีกประเภทหนึ่งที่ปรากฏ ได้แก่ “ความเชื่อเรื่องลางสังหรณ์” ส่วนใหญ่ “ลางสังหรณ์” ที่ปรากฏในเรื่องจะเป็นลางร้าย มากกว่า ลางดี เช่น นางวันทองเห็นแมงมุมกำลังทุ่มอกตัวเอง เมื่อคราวที่ พลายงามกำลังจะถูกขุนช้างฆ่าอยู่กลางป่า หรือตอนที่ขุนแผนกำลังจะเอาดาบฟันขุนช้างขณะที่ขุนช้างนอนหลับอยู่ ก็มีจิ้งจกร้องทักขึ้น ขุนแผนจึงได้สติ มิได้ฆ่าขุนช้าง ตัวอย่าง เสภา ตัวอย่าง ลางร้ายที่เณรพลายแก้วเจองู ความว่า
ก้างลงอัฒจันทร์ถึงชั้นล่าง งูเห่าหางเลื้อยฟู่ชูหัวร่อน
แผ่แม่เบี้ยขวางหนทางจร เณรเห็นสังหรณ์เป็นลางร้าย
4.4.3 ไสยศาสตร์ สามารถแบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม ได้แก่
1.ไสยขาว เป็นไสยศาสตร์ที่มิได้สร้างความเดือดร้อนให้แก่ผู้อื่น เช่น การดูเมฆเพื่อหาฤกษ์ยาม
2.ไสยดำ จัดเป็นเดรัจฉานวิชา เป็นไสยศาสตร์ที่มุ่งทำร้ายผู้อื่น สำหรับ ไสยศาสตร์ประเภทนี้ที่ปรากฏในเรื่อง ได้แก่ การทำเสน่ห์ โดยเฉพาะ “การฝังรูปฝังรอย” เช่น ตอนที่เถนขวาดทำเสน่ห์ให้พลายงามมารักนางสร้อยฟ้า ภรรยาน้อย เป็นต้น
4.4.4 เครื่องราง เช่น ผ้าซิ่น หรือ ตะกรุด ก็เช่นเดียวกัน เรามักพบหลักฐานเกี่ยวกับการ "ใช้" ตะกรุดและเครื่องราง ในงานวรรณกรรมไทยหลายต่อหลายเรื่อง เช่น ขุนช้างขุนแผน
4.4.5 พุทธศาสนา ที่ปรากฏในเรื่องขุนช้างขุนแผนนั้น ชาวบ้านมีความเคารพในพระพุทธศาสนา ขนบธรรมเนียมประเพณีไทย เช่น การทำบุญฟังเทศน์ หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา ดังนั้น จึงมีคำสอนที่สอดแทรกอยู่พิธีกรรมทางศาสนา ในเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน อยู่มากมาย
4.4.6 ความเชื่อในอำนาจพระมหากษัตริย์ ในสมัยกรุงศรีอยุธยาจนถึงกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้นถือว่า พระมหากษัตริย์เป็นสมมติเทพ ทรงมีอำนาจสูงสุดในการปกครองบ้านเมืองเเละทรงตัดสินคดีความต่างๆ หากมีผู้ถวายฎีกา รวมทั้งสามารถให้คุณให้โทษแก่ทุกคนได้ ทำให้พสกนิกรมีทั้งความจงรักภักดี ความกลัวเกรง และความเชื่อในอำนาจของพระมหากษัตริย์ ตัวละครทุกตัวในเสภาเรื่อง ขุนช้างขุนแผน ตอนขุนช้างถวายฎีกา ล้วนมีความเชื่อในอำนาจของพระมหากษัตริย์ ทั้งพลายงาม นางวันทอง ขุนแผน และขุนช้าง เเสดงความเชื่อทางด้านนี้ชัดเจนที่สุด
4.5 ภูมิปัญญา
4.5.1 ด้านภาษาและคำสอน การเขียนวรรณกรรมขุนช้างขุนแผนนี้ขึ้นเป็นการถ่ายทอดความคิด เป็นการใช้ภาษาเพื่อการสื่อสาร เพื่อรสชาติทางภาษา เพื่อจูงใจเพื่อความติดใจและประทับใจ ทำให้ผู้อ่านสามารถสังเกต จดจำนำไปใช้ก่อให้เกิดการใช้ภาษาที่ดี ทั้งการใช้คำ การใช้ประโยค การใช้โวหาร การใช้ภาษาในบทเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน เป็นตัวอย่างที่ดีที่คนไทยยึดถือและจดจำได้อย่างขึ้นใจ เช่น สำนวน คำให้พร คำสู่ขวัญ การเปรียบเปรย อุปมา อุปไมย คำคม และสุภาษิต ตอนที่ นางทองประศรีสอนสั่งขุนแผนก่อนไปรับราชการในวัง เป็นสุภาษิตสอนใจ ความว่า
“จงอุตส่าห์อดเปรี้ยวไว้กินหวาน ฝึกหัดราชการให้จงได้”
บทเสภา ตอนที่ขุนแผนต่อว่านางวันทอง เป็นการเปรียบเปรยว่า กา คือ นางวันทอง
“เมื่อแรกเชื่อว่าเป็นเนื้อทับทิมแท้ มาแปรเป็นพลอยหุงไปเสียได้
กาลวงว่าหงส์ให้ปลงใจ ด้วยมิได้ดูหงอนแต่ก่อนมา”
4.5.2 ด้านกฎหมาย ในสมัยก่อนไม่มีตัวบทกฎหมายที่แน่นอน พอมีคดีความอะไรก็ต้องอาศัยพระราชวินิจฉัยของพระมหากษัตริย์ และก็ขึ้นอยู่กับพระอารมณ์ด้วย ดังบทเสภา ตอนที่สมเด็จพระพันวษาจะทรงตัดสินคดีชิงชู้ระหว่างขุนช้างและขุนแผน ความว่า
“ครานั้นสมเด็จนเรนทร์สูร ฟังทูลตามคำลูกขุนว่า”
“วันทองส่งคืนขุนแผนไป ตามในพระราชกฤษฎีกา”
4.5.3 ด้านการรักษาโรค ในบทเสภาได้กล่าวถึง ว่าน ที่มีสรรพคุณที่ใช้เป็นยาในการรักษาโรค ดังเสภา ที่ว่า “ถึงลาวคาดเครื่องอานกินว่านยา ถูกดาบมรณาลงดาดดิน”
4.5.4 ด้านที่อยู่อาศัย “คุ้มขุนช้าง" เป็นเรือนไทยหลังใหญ่ สร้างตามบทพรรณนาเรือนของขุนช้างในวรรณกรรมเรื่องขุนช้างขุนแผน สะท้อนภาพถึงภาวะบ้านเรือนไทยของเศรษฐีไทยโบราณ ว่ามีรั้วรอบขอบคูแบ่งเป็นชั้นเป็นดอยอย่างไร มีไม้ประดับและเลี้ยงสัตว์อะไรบ้าง สถาปัตยกรรมอย่างเรือนไทยโบราณนั้นได้แบ่งห้องหอเรือนนอน หอกลาง ชานดอกไม้ และโรงเรือนข้าทาสเอาไว้เป็นส่วน ที่นอกชานมักใช้ปลูกไม้กระถาง วางอ่างน้ำ ปลูกตะโกดัดและบอนไซ ซึ่งคนแต่ก่อนนิยมปลูกต้นไม้ใส่กระถางไว้เชยชม ดังตัวอย่างเสภาในหัวข้อภูมิปัญญาด้านการเกษตรที่กล่าวถึงนอกชานของเรือนขุนช้างไว้อย่างน่ารื่นรมย์
4.5.5 ด้านการเกษตร ในเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน ตอนขุนแผนขึ้นเรือนขุนช้างเพื่อไปลักพาตัวนางวันทองเมียรักกลับคืนมานั้น บรรยายบรรยากาศบนชานเรือนของขุนช้าง ซึ่งเป็นคหบดีเมืองสุพรรณไว้น่าดูนัก อ่านแล้วรู้สึกรื่นรมย์ มีไม้ดอกไม้ประดับที่ปลูกอยู่กลางชานเรือนของขุนช้าง อาทิเช่น พิกุล ยี่สุ่น ข่อย กุหลาบ มะลิซ้อน เป็นต้น ดังตัวอย่างจากบทเสภา ตอนที่ขุนแผนขึ้นเรือนขุนช้างเพื่อไปลักพาตัวนางวันทองเมียรักกลับคืน ความว่า
“โจนลงกลางชานร้านดอกไม้ ของขุนช้างสร้างไว้อยู่ดาษดื่น”
“กระถางแถวแก้วเกตพิกุลแกม ยี่สุ่นแซมมะสังดัดดูไสว”
“ยี่สุ่นกุหลาบมะลิซ้อน ซ้อนชู้ชูกลิ่นถวิลหา”
“ลำดวนยวนใจให้ไคลคลา สายหยุดหยุดช้าแล้วยืนชม”
“มะสังดัด” หรือบอนไซ ในปัจจุบัน มาอยู่บนเรือนดอกไม้แสดงว่าขุนช้างนั้นเล่น “บอนไซ” มาเก่าพอๆ กับคนญี่ปุ่น นอกจากนี้ก็มีเรือนแขวนกรงนกชนิดต่างๆ รวมทั้งเลี้ยงปลาพันธุ์สวยๆ งามๆ เอาไว้มาก สมฐานานุรูปของเศรษฐีไทยทุกระเบียด
4.5.6 ด้านเครื่องดนตรี บทเพลง และการละเล่น เสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน ตอนทำศพนางวันทอง มีการละเล่นต่างๆ เช่น การละเล่นเพลงปรบไก่ ไว้ด้วยว่า
นายแจ้งก็มาเล่นเต้นปรบไก่ ยกไหล่ใส่ทำนองร้องฉ่าฉ่า
รำแต้แก้ไขกับยายมา เฮฮาครื้นครั่นสนั่นไป
เพลงปรบไก่ เป็นการละเล่นพื้นเมืองมาแต่โบราณ สันนิษฐานว่า จะเก่าแก่กว่าเพลงพื้นบ้านประเภทอื่น ๆ ของภาคกลางผู้เล่นร้องโต้ตอบกันโดยยืนเป็นวงกลม มักร้องหยาบๆ สามารถเล่นเป็นเรื่องได้ เช่น เรื่องขุนช้างขุนแผน เพื่อบวงสรวงศาลประจำหมู่บ้านและทำพิธีขอฝน ชาวบ้านดอนข่อยไร่คาวังบัวที่โยกย้ายไปอยู่ถิ่นอื่นจะกลับมาร่วมพิธีบวงสรวงศาลทุกปี เพราะเชื่อกันว่าถ้าใครไม่กลับมาบูชา ตนเองและสมาชิกในครอบครัวจะประสบเหตุร้ายหรือเจ็บไข้ได้ป่วยทั้งยังเชื่อว่าความทุกข์ร้อนต่างๆที่เกิดขึ้นกับคนในหมู่บ้าน ตลอดจนโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ เมื่อขอความช่วยเหลือจากหลวงพ่อปู่แล้วจะช่วยขจัดปัดเป่าความทุกข์ร้อนทั้งหลายให้สิ้นไป ดังนั้นเมื่อผู้ใดเดือดร้อนจึงมักบนบานหลวงพ่อปู่เสมอและเมื่อพ้นทุกข์แล้วก็จะแก้บนด้วยการเล่นเพลงปรบไก่
มีเครื่องดนตรีที่ปรากฏในวรรณกรรม อาทิเช่น วงมโหรี ปี่อ้อ ซอ แคน ฆ้องวง ระนาด ล้อ ดังตัวอย่างจากบทเสภา ตอนที่ วงมโหรีในพิธีแต่งงานของพระไวยกับศรีมาลา ดังเสภา
“จุดประทีปแสงประเทืองเรืองรอง มโหรีแซ่ซ้องประสานซอ”
“ฆ้องวงหน่งหนอดสอดเสียงซอ ระนาดตอดลอดล้อบรรเลงลอย”
“ที่นักเลงขับร้องก็ตรองเตรียม เคี่ยมเคี้ยเพลี้ยแคนทั้งปี่อ้อ
มีวรรณกรรมตอนหนึ่งใช้เป็นเนื้อเพลงไทย ที่รู้จักกันมากที่สุดเพลงหนึ่ง ก็คือเพลงสุดสงวน มีตัวอย่างเนื้อร้องจากบทเสภา ดังนี้
น้อยเอ๋ยเพราะน้อยฤๅถ้อยคำ หวานฉ่ำจริงแล้วเจ้าแก้วเอ๋ย
เจ้าเนื้อหอมพร้อมชื่นดังอบเชย เงยหน้ามาจะว่าไม่อำพราง
4.5.7 ด้านเครื่องนุ่งห่ม ที่ปรากฏในวรรณกรรม อาทิเช่น ผ้าซิ่น นุ่งยก ห่มส่าน ห่มสไบ เป็นเครื่องแต่งกายของคนในสมัยนั้น การนุ่งยกถ้าเป็นคนที่มีฐานะหน่อยอย่างเช่นขุนช้างดังตัวอย่างจากบทเสภาก็จะนุ่งยกทอง
“บ้างมีทองของแห้งเครื่องแต่งตน เอาซุกซนซ่อนไว้ในผ้าซิ่น”
“ขุนช้างรับหม้อใหม่เข้าในห้อง นุ่งผ้ายกทองแล้วห่มส่าน”
4.5.8 ด้านอาหารและเครื่องมือประกอบอาหาร ภูมิปัญญาที่ปรากฏในวรรณกรรมขุนช้างขนแผนเกี่ยวกับอาหารและเครื่องมือประกอบอาหาร มีมากมาย เช่น ครก สาก หม้อข้าว หม้อแกง ปลาร้า ปลาแห้ง น้ำปลา ส้มลิ้ม การแช่อิ่มอาหาร ดังตัวอย่างจากบทเสภา ตอนที่ ราษฎรเมืองเชียงใหม่เก็บข้าวของย้ายไปกรุงศรีอยุธยาหลังแพ้สงคราม
“บ้างเรื่อยกลักจักกระบอกกรอกปลาร้า ทั้งน้ำปลาปลาแดกเอาแทรกใส่
พริกกะเกลือเนื้อกวางเอาย่างไว้ บ้างเย็บไถ้ใส่ข้าวตากจัดหมากพลู
ครกกระบากสากจ่าปลาร้าปลาแห้ง หม้อข้าวหม้อแกงกระทะหู”
“จึงเย็บไถ้ใส่ขนมกับส้มลิ้ม ทั้งแช่อิ่มจันอับลูกพลับหวาน”
แกงบวน ที่ปรากฏในบทเสภา เป็นอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ นับเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่น เพราะนำสมุนไพรหลายอย่างมาเป็นเครื่องปรุง
และยังเป็นยารักษาโรคได้หลายอย่าง เช่น ใบขี้เหล็กเป็นยาระบาย กระวานแก้ท้องร่วง ตะไคร้ขับลม ปัจจุบันมีการถ่ายทอดภูมิปัญญา วิธีการทำแกงบวน กันในครอบครัวบ้างแต่ไม่มากนัก ทั้งนี้เพราะแกงบวนเป็นอาหารคาวและมีรสเค็ม หวาน และไม่มีรสเผ็ด ซึ่งคนรุ่นหลังจะไม่ชอบนิยม
“ทำน้ำยาแกงขมต้มแกง ผ่าฟักจักแฟงพะแนงไก่ บ้างทำห่อหมกปกปิดไว้ ต้มไข่ผัดปลาแห้งทั้งแกงบวน”
5 คุณค่าภูมิปัญญา
5.1 ภูมิปัญญาที่มีแนวโน้มจะเลือนหายไปจากปัจจุบัน
- การทำคลอดโดยหมอตำแย เนื่องจากวิวัฒนาการทางการแพทย์ในปัจจุบัน มีประสิทธิภาพมาก ทั้งตัวยาที่มีคุณภาพหรือจำนวนหมอที่มีความสามารถมีมากขึ้น ดังนั้นหมอตำแยแบบโบราณซึ่งเป็นภูมิปัญาญาท้องถิ่นจึงมีแนวโน้มที่จะเลือนหายไป หมอตำแยในอดีตสามารถเปรียบเปรยได้ว่าเป็นต้นแบบของตำรวจไทยในเรื่องของการทำคลอด ดังข่าวที่ตำรวจทำคลอดให้หญิงมีครรภ์ในรถแท็กซี่
- การโกนจุก ปัจจุบันแฟชั่นได้เข้ามามีอิทธิพลในสังคมสมัยใหม่เป็นอย่างมากพ่อแม่สมัยใหม่จึงไม่นิยมให้ลูกไว้จุก เนื่องจากไม่ทันสมัย ดังนั้นเมื่อไม่มีเด็กไม่ไว้จุก พิธีการโกนจุกจึงมีแนวโน้มที่จะเลือกหายไป
- การอยู่ไฟ เนื่องด้วยปัจจุบันวิวัฒนาการทางการแพทย์ได้พัฒนาไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากนั้น รวมถึงวิถีชีวิตที่เร่งรีบในการทำงาน ทำให้วิธีการอยู่ไฟของหญิงหลังคลอดในอดีตเรือนหายไป
5.2 ภูมิปัญญาที่ได้รับการถ่ายทอดมาจนถึงปัจจุบัน ตัวอย่าง เช่น
- ประเพณีการบวช เพื่อให้ลูกผู้ชายได้บวชเรียน ศึกษาวิชาความรู้ ศึกษาพระธรรม ชำระจิตใจ
- ประเพณีการตาย เพื่อเป็นเครื่องเตือนสติว่าไม่ให้ทำชั่ว ตายไปก็เอาอะไรไปด้วยไม่ได้
- ประเพณีการแต่งงาน เป็นการทำพิธีเพื่อแสดงให้สังคมรับรู้ว่าชายหญิงได้เป็นสามีภรรยากันอย่างถูกต้องตามประเพณี นั่นคือกุศโลบายเพื่อประกาศว่าผู้ที่แต่งงานเป็นสามีภรรยากัน คนอื่นจะได้ไม่มาคิดผิดลูกผิดเมีย
- การเลี้ยงบอนไซ เนื่องจากสามารถทำรายได้ให้แก่ตนเองและครอบครัวได้ จึงมีการสืบทอดมาถึงปัจจุบัน
5.3 ภูมิปัญญาที่ควรส่งเสริมและพัฒนาเพื่อสร้างโอกาส
5.3.1 ภูมิปัญญาจากวรรณกรรม ทางตรง ที่ควรส่งเสริมและพัฒนาเพื่อสร้างโอกาส
ส้มลิ้ม หรือที่รู้จักกันในปัจจุบันว่า ส้มแผ่น ควรพัฒนาในเรื่องของรูปแบบของตัวผลิตภัณฑ์และมูลค่าเพิ่ม เช่น ทำเป็นวงกลมขนาดพอดีคำแล้วใส่ชาเขียวเพื่อสุขภาพ ห่อด้วยกระดาษแก้วทุกชิ้น รวมถึงคิดแพ็คเกจจิ้งที่มีดีไซน์ใหม่ ๆ ชวนให้น่าซื้อ ซึ่งจะเห็นได้จากรูปแบบของแพ็คเกจจิ้งของขนมญี่ปุ่นที่มีรูปแบบสวยงามน่าซื้อ
บอนไซ เป็นศิลปะของการย่อส่วนต้นไม้ที่มีขนาดใหญ่มาเป็นต้นไม้ขนาดเล็ก โดยมีกิ่งก้านสาขารูปทรงเหมือนธรรมชาติเดิม มาปลูกในภาชนะที่มีขนาดแบนหรือเล็กที่เหมาะสมกับลำต้น ทำให้ดูแล้วสัดส่วนเข้ากันดี เนื่องจากบอนไซเป็นศิลปะที่สวยงาม สามารถสร้างรายได้ให้กับตนเองและครอบครัวได้
5.3.2 ภูมิปัญญาจากวรรณกรรม ทางอ้อม ที่ควรส่งเสริมและพัฒนาเพื่อสร้างโอกาส
การเลี้ยงบอนสี เกิดจาการผูกเรื่องราวของบอนสีกับวรรณกรรมโดยการเชื่อมโยงบุคลิกตัวละครจากวรรณกรรมให้ตรงตามลักษณะบอนสี ปัจจุบันบอนสายพันธุ์เก่า ๆ เช่น บอนในตระกูลขุนช้างขุนแผน ได้แก่บอนขุนแผน บอนขุนช้าง บอนเถรกวาด และบอนแก้วกิริยา เริ่มหายากมากขึ้น ดังนั้นการส่งเสริมการเลี้ยงบอนสีในลักษณะการสะสมและอนุรักษ์ไม่ให้สูญพันธุ์ โดยโยงใยไปสู่การทำเป็นอาชีพ จนกลายเป็นอาชีพอย่างมั่นคงเพื่อส่งขายให้ทั้งภายในและต่างประเทศ จะเป็นการสร้างรายได้ให้กับตนเอง ครอบครัวและชุมชนได้
ภาพวาด ของจักรพันธุ์ โปษยกฤต ส่วนใหญ่จะได้แรงบันดาลใจจากวรรณกรรมไทย เรื่องขุนช้างขุนแผน ซึ่งนับได้ว่าเป็นภูมิปัญญาทางด้านศิลป์ ที่ต่อยอดมาจากวรรณกรรมขุนช้างขุนแผน ซึ่งสามารถสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจได้
การจัดทัวร์สถานที่ทางภูมิศาสตร์ เรื่องขุนช้างขุนแผนเป็นสถานที่มีอยู่จริงๆ ในบ้านเมืองเรา จึงควรนำมาเป็นแหล่งท่องเที่ยวในเชิงวรรณกรรม เช่น จัดทัวร์ เที่ยว..สุพรรณบุรี..ดินแดนกำเนิดวรรณกรรมขุนช้าง-ขุนแผน ซึ่งมี วัดป่าเลไลยก์ คุ้มขุนช้าง ที่น่าดูชม
6 บทสรุป
การศึกษาเรื่องราวต่างๆ จากวรรณกรรมย่อมได้ข้อมูลที่แสดงถึงภูมิปัญญาท้องถิ่นไทยในอดีตได้อย่างแท้จริง กระบวนวรรณกรรมไทยทั้งหมดเสภาขุนช้างขุนแผน สะท้อนให้เห็นถึงขนบธรรมเนียม จารีต ประเพณี ความเชื่อ ศิลป การปกครอง เศรษฐกิจ การศึกษา การศาล ศาสนา การคมนาคม ภูมิศาสตร์ ความเป็นอยู่ชีวิตในสังคมและสิ่งที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน ตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตายของคนไทยในระดับชั้นธรรมดาสามัญ
ภูมิปัญญาท้องถิ่นมีความเชื่อมโยงกันในลักษณะที่เป็นรูปธรรม คือ การทำพิธีกรรมต่างๆ ในช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงตามเหตุการณ์ที่สำคัญของชีวิต และในลักษณะที่เป็นนามธรรม คือ ความรู้ ความเชื่อ วิธีการประพฤติปฏิบัติตน เริ่มตั้งแต่ประเพณีการเกิด เป็นการทำพิธีเพื่อให้หญิงมีครรภ์คลอดลูกง่ายและปลอดภัยทั้งมารดาและทารก ประเพณีการทำขวัญ เป็นการทำพิธีเพื่อให้เกิดความเป็นสิริมงคลและเพื่อป้องกันโรคภัยไข้เจ็บ ประเพณีการโกนจุกเป็นการทำพิธีเพื่อเปลี่ยนสถานภาพจากวัยเด็กเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ ประเพณีการบวช เป็นการทำพิธีเพื่อให้เด็กผู้ชายได้ศึกษาวิชาความรู้และศีลธรรมจรรยาจากพระสงฆ์ที่วัด ประเพณีการแต่งงาน เป็นการทำพิธีเพื่อแสดงให้สังคมรับรู้ว่าชายหญิงได้เป็นสามีภรรยากันอย่างถูกต้องตามประเพณี และเป็นวิธีการสืบเผ่าพันธุ์ของมนุษย์ให้คงอยู่ต่อไป ประเพณีการตาย เป็นการทำพิธีโดยมีจุดประสงค์เพื่อต้องการให้วิญญาณของผู้ตายไปสู่โลกหน้าอยู่มีความสุข ภูมิปัญญาท้องถิ่นเหล่านี้สะท้อนให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคนอื่นๆ ในสังคมคนกับธรรมชาติ และคนกับสิ่งเหนือธรรมชาติภูมิปัญญาท้องถิ่นจึงเป็นกระบวนการทางความคิดในการสร้างแบบแผนการดำเนินชีวิต เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต และเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจจิตใจของคนให้มั่นคง เข้มแข็ง เกิดความสบายใจและเพื่อประโยชน์ในการดำเนินชีวิตของมนุษย์ ให้สามารถอยู่รวมกันได้อย่างมั่นคงปลอดภัย และสงบสุข
ข้อสำคัญ ภูมิปัญญาท้องถิ่นที่ปรากฏในวรรณกรรม ยังนำมาทำประโยชน์เพื่อการดำรงชีพ โดยสามารถโยงใยไปสู่การทำเป็นอาชีพ จนกลายเป็นอาชีพอย่างมั่นคงเพื่อส่งขายให้ทั้งภายในและต่างประเทศ นำมาซึ่งรายได้และความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
7 รายการอ้างอิง
ม่าน เมืองพรหม. ขุนช้างขุนแผน (กรุงเทพฯ : อมรการพิมพ์ , 2543)
สายทิพย์ นุกูลกิจ. วรรณกรรมเกี่ยวกับขนบประเพณี (กรุงเทพฯ : การพิมพ์พระนคร, 2533)
ชวน เพชรแก้ว. การศึกษาวรรณกรรมไทย (กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์โอเดียนสโตร์, 2524)
วิเชียร เกษประทุม. เล่าเรื่องขุนช้างขุนแผน (กรุงเทพฯ : เรืองแสงการพิมพ์, 2513)
โกวิท ตั้งตรงจิตร. คุยเฟื่องเรื่องขุนช้างขุนแผน (กรุงเทพฯ : สุวีริยาสาส์น, 2547)
ภิญโญ ศรีจำลอง. ความยิ่งใหญ่แห่งวรรณกรรมรัตนโกสินทร์ (กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์,2548)
เอกรัตน์ อุดมพร. วรรณกรรมสมัยรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 1-2-3 (กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์,2548)
http://www.human.cmu.ac.th/~thai/sompong/local%20lit.htm
http://www.thaiedresearch.org/result/detail_add.php?id=2404
http://www.siamcaladium.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=500319&Ntype=9
http://www.mcu.ac.th/site/thesisdetails.php?thesis=253907
http://www.nairobroo.com/76/modules.php?name=News&file=article&sid=121
http://www.ayumongol-sonakul.com/article_9.html
http://www.thaipoet.net/index.php?lay=show&ac=article&Id=564986&Ntype=2
http://www.wt.ac.th/~benjamas/head01.html
http://www.greenthailand.net/tbonsai/lesson11/lesson11.htm
http://www.ku.ac.th/e-magazine/may48/know/home.html
http://guru.sanook.com/encyclopedia/
http://www.banlat.com/html/modules.php?name=News&file=print&sid=18
http://courseware.triamudom.ac.th/index.php?mod=Courses&op=course_lesson&cid=273&sid=
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)